
๑๐
ด้วยแสนยานุภาพของกองทัพอากาศไทยในคืนนั้น ทำให้ฝ่ายตรงข้ามหยุดการเคลื่อนไหวชั่วคราว ด้วยนอกจากฐานเสบียงแล้ว คลังเก็บอาวุธก็ถูกทำลายด้วยเช่นกัน เมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติอนิลบถ มนตรี บรรจบ และศรุตที่ถูกเรียกมาเพื่อภารกิจเร่งด่วนจึงได้กลับไปพักอีกรอบ
“หวังว่าจะไม่ต้องเจอกันเร็วๆนี้” บรรจบเอ่ยติดตลก เมื่อทั้งสี่เดินมาถึงโรงจอดรถในกองบิน
อนิลบถ มนตรี และศรุตยกมุมปากแล้วไหวไหล่ ก่อนที่มนตรีจะเดินไปตบบ่าคนช่างพูด
“ฉันกับแกกว่าจะเจอกันก็คงอีกสักพัก ส่วนไอ้เวหาคาดว่าจะได้เจอกันแทบทุกวัน”
ศรุตกับบรรจบเหลือบมองไปทางคนที่คาดว่าจะได้ต้อนรับเพื่อนสนิทแทบทุกวันเป็นสายตาเดียว
“บ้านฉันไม่ใช่สโมสรที่ได้เปิดต้อนรับนายทุกวัน” เอ่ยจบอนิลบถก็เปิดประตูรถ ติดเครื่องยนต์ ลดกระจกลงเพื่อโบกมือให้ศรุตกับบรรจบ จากนั้นจึงเคลื่อนรถออกไป
“บ้านไอ้เวหามีอะไรดีวะ นายถึงอยากไปทุกวัน” ศรุตถาม
“เออ วันก่อนพูดค้างไว้แล้วก็ชิ่งนอน” บรรจบว่า
“ขอเวลาฉันอีกสักพัก มั่นใจเมื่อไหร่จะเล่าให้ฟัง” มนตรียักคิ้ว ไม่ใช่สโมสรอย่างนั้นหรือ หึ แต่เขาจำได้ดีว่าคุณหญิงบุหงาเคยบอกไว้ว่า ประตูบ้านวงศ์คคนานต์ยินดีเปิดต้อนรับเขาเสมอ
มาเมืองสวรรค์ฉันเลยลืมมันแช่มชื่นทั้งคืนทั้งวัน
ในฟ้าเขียวฉันเคยไปเที่ยวทุกแห่ง
ในน้ำเขียวฉันเคยไปเที่ยวทุกถิ่น
ไม่ว่าที่ไหนไหนในดินทั้งใกล้ทั้งไกลเคยไปหมดครัน
ดูใครหาเทียมทันเพลินเหมือนจันทร์ดังเธอ*
“ตัวว่าอีกกี่วันพี่เวหาถึงจะได้กลับบ้าน”
“...”
“ไม่นาน ตัวตอบแบบนี้มาจะเดือนนึงแล้วนะปักษา” อัปสรนภาทำหน้ามุ่ยหลังจากอ่านคำตอบเดิมๆบนหน้ากระดาษ
ศกุนตลาเบนสายตามองคนที่นอนอ่านหนังสืออยู่บนม้าโยกแล้วย่นจมูก จดปลายดินสอลงบนหน้ากระดาษอีกรอบแล้วหยิบนวนิยายเล่มโปรดขึ้นมาอ่าน
“คิดถึงพี่เวหาก็ร้องเพลงรอไปก่อน” อัปสรนภาอ่านข้อความแล้วครางฮึ่ม “ร้องจนคอแห้งหมดแล้ว” ถึงแม้จะพึมพำตอบเช่นนั้น แต่คนที่เปิดเพลงโปรดของพี่ชายฟังมาหลายสัปดาห์กลับร้องคลอแผ่นเสียงอย่างเพราะพริ้ง
“งามเลิศเลอลออสำอางทุกอย่างไปเทียว
ในฟ้าเขียวฉันเคยไปเทียวทุกแห่ง**”
...
มุมปากหยักของคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในบ้านยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ใจที่นึกห่วงเกรงว่าสองสาวจะขุ่นเคืองที่เขามีภารกิจด่วนในวันสำคัญจึงไม่ออกไปต้อนรับ ที่ไหนได้เปิดแผ่นเสียงฟังกันจนกลบเสียงรถนี่เอง
“ยกของขึ้นไปเก็บ แล้วก็ไปหาข้าวหาปลากินเถอะ” อนิลบถเอ่ยกับแผนและผ่องที่ช่วยหิ้วกระเป๋าเดินทางของเขาเข้ามาในบ้าน
“คุณเวลาจะให้ตั้งสำรับที่ไหนดีคะ” ผ่องถาม
“ริมน้ำก็แล้วกัน”
ผ่องกับแผนค้อมศีรษะรับ แล้วจึงนำข้าวของเครื่องใช้ขึ้นไปเก็บบนห้องนอนของผู้เป็นนาย
...
ในฟ้าเขียวฉันเคยไปเที่ยวทุกถิ่น
ไม่ว่าที่ไหนไหนในดินมามุ่นละเมอแต่เธอคนเดียว***
อนิลบถยืนกอดอกพิงขอบประตูห้องพักผ่อน ทอดสายตามองสองสาวที่กำลังให้ความสนใจกับนวนิยายในมือ พร้อมกับโยกศีรษะรับกับจังหวะดนตรีเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
“นึกว่าจะร้องไห้ขี้มูกโป่งเป็นห่วงพี่อยู่เสียอีก ที่ไหนได้พากันนอนฟังเพลงสบายเทียว ”
“...”
สองสาวที่พากันนอนฟังเพลงอย่างสบายอุราหันขวับไปมองตามเสียง โยนหนังสือในมือลงข้างตัวก่อนจะผุดลุกขึ้น วิ่งเข้าไปสวมกอดผู้มาใหม่คนละข้าง
“พี่เวหา พี่เวหาจริงๆด้วย” อัปสรนภาว่า
“ก็พี่จริงๆน่ะสิคะ หรือคิดว่าเป็นใคร หืม” คนเป็นพี่เอ่ยเสียงกลั้วขำ ลูบผมน้องสาวร่วมอุทร ก่อนจะหันมาสบดวงตากลมโตของน้องน้อยที่สวมกอดอยู่อีกฝั่ง
หน้าอกข้างซ้ายของชายชาตนักรบกระตุก ยามทำนบน้ำคลอม่านตางาม ศกุนตลาคลี่ยิ้มทั้งน้ำตา ถึงแม้นจะไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำ แต่อนิลบถก็สัมผัสได้ถึงความห่วงหานั้น และเขาเองก็โหยหารอยยิ้มหวานๆเช่นนี้ไม่ต่างกัน
“พี่กลับมาแล้ว กลับมาตามสัญญา”
ศกุนตลาพยักหน้ารับระรัว ก่อนจะซุกซบลงกับอกแกร่งอีกรอบ
อัปสรนภาเหลือบตามองศีรษะของคนที่ซบอยู่อีกฝั่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น สะกิดพี่ชายแล้วทำปากขมุบขมิบที่สามารถอ่านใจความได้ว่า
‘ปักษาแอบร้องไห้บ่อยมาก’
อนิลบถเขกหน้าผากคนช่างฟ้อง อัปสรนภายู่ปากแล้วยกมือขึ้นลูบหน้าผากป้อย ในขณะที่คนเป็นพี่เบนสายตาไปมองคนที่ยังแอบร้องไห้อยู่บ่อยครั้ง เลื่อนฝ่ามือขึ้นลูบไหล่บาง ถ่ายทอดความอบอุ่นผ่านสัมผัสแผ่วเบา
“อาหารพร้อมแล้วค่ะ”
“...”
สามพี่น้องหันไปมองแม่บ้านสาวที่ยืนอมยิ้มอยู่หน้าประตู
“ดีจัง ได้กินข้าวพร้อมกันเสียที คืนนี้คุณพ่อกับคุณแม่ต้องเจริญอาหารแน่เลย” อัปสรนภาว่า
“คุณแม่ไม่อยู่บ้านดอกรึ” อนิลบถถาม ขณะโอบบ่าของน้องสาวทั้งสองคนเดินตามผ่องไปยังโต๊ะอาหารที่จัดไว้ริมน้ำ ซึ่งเป็นบริเวณเดียวกับที่งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของอัปสรนภา
“คุณแม่ไปบ้านคุณป้าราตรีค่ะ ขนผักผลไม้ไปเสียหลายกระบุง”
“แปลก ...” อนิลบถพึมพำ
“แปลกอะไรหรือคะ”
“แปลกที่คราวนี้คุณแม่ไม่ยักพาเราไปด้วย”
คนที่เคยไปแผลงฤทธ์บ้านพี่สาวแท้ๆของมารดาทำหน้ามุ่ยก่อนตอบ “คุณแม่คงกลัวว่าคุณป้าจะบ่นนภาจนเหนื่อยหอบเหมือนคราวก่อนอีก อีกอย่างนภาเองก็ไม่อยากไป หลานรักอย่างพี่เวหาไม่มีวันเข้าใจหรอกค่ะ ว่าการโดนคุณป้าตรวจความเรียบร้อยตั้งแต่ปลายผมยันปลายเล็บสยองแค่ไหน”
ศกุนตลายื่นหน้ามามองคนหน้ามุ้ยตุ้ยอีกฝั่งอกแล้วหัวเราะคิก อัปสรนภาพ่นลมออกจมูก ก่อนจะเอื้อมมือไปตีแขนของคนที่หัวเราะเยาะดังแปะ
“ตัวก็เบื่อฟังคุณป้าบ่นเหมือนกันแหละน่า ถึงได้รีบออกตัวกับคุณแม่ว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเค้าอ่านหนังสือ”
“หือ ...” อนิลบถหรี่ตามองคนถูกตีมือที่กำลังออดอ้อนขอคำพิพากษาจากเขาผ่านทางสายตา “เจ็บหรือคะ”
ศกุนตลาพยักหน้ารับแล้วกะพริบตาปริบๆ คนโดนอ้อนหัวเราะในลำคอเลื่อนมือที่ลูบไหล่ลงมาไล้ข้อแขนเนิบช้า เจ้าของข้อมือจึงเอนศีรษะซบลงกับอกกว้างอีกรอบ
“ยู้ฮู นภายังอยู่ตรงนี้ค่ะ แล้วที่สำคัญเมื่อครู่ปักษาเป็นคนล้อนภาก่อนด้วย” อัปสรนภาถอนหายใจ
อนิลบถหัวเราะชอบใจ ละวงแขนจากเรือนร่างบอบบางทั้งสอง ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้กดบ่าอัปสรนภาให้นั่งลง ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้อีกตัวให้ศกุนตลา จากนั้นจึงเดินอ้อมไปนั่งอีกฝั่ง
“พอกันทั้งสองนั่นล่ะ แกล้งกันได้ทั้งวันไม่เบื่อหรือไร หืม”
ศกุนตลากับอัปสรนภาหันมาสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งสองจ้องกันชั่วขณะก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน “ไม่เบื่อหรอกค่ะ นภาอยากเล่นแบบนี้ไปจนแก่เลย แต่คุณแม่บอกว่าสักวันอาจจะมีคนมาขอปักษาออกเรือน”
“...”
“นภาเลยแอบไปกระซิบคุณพ่อไว้ว่า หากมีใครมาสู่ขอปักษา นภาจะทดสอบผู้ชายคนนั้นด้วยตัวเอง”
“...”
อนิลบถขมวดคิ้วมุ่นเผลอชักสีหน้าตวัดหางตามองไปยังคนที่ถูกพาดพิงถึงทันควัน “มีใครมาชอบพอปักษางั้นรึ”
ศกุนตลาส่ายหน้าแรงๆ ด้วยความไม่สมบูรณ์แบบของเธอ จึงทำให้เรื่องออกเรือนเป็นเรื่องที่ห่างไกลและไม่อาจจับต้องได้ ทว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนจู่คุณหญิงบุหงาก็กระเซ้าเรื่องนี้ขึ้นมา จนอัปสรนภาออกอาการเป็นเดือดเป็นร้อนอยู่หลายวัน
“ปักษาไม่ทราบค่ะ นภาเองก็ไม่เคยระแคะระคาย แต่คุณแม่ท่านเปรยตอนมื้อค่ำสัปดาห์ก่อน พอนภาถามท่านก็เลี่ยงที่จะตอบตรงๆ บอกแต่ว่าค่อยๆดูกันไป ส่วนคุณพ่อก็เอาแต่อมยิ้ม
“...”
“นภาร้อนใจ เกรงว่าคุณป้าราตรีจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ท่านจับคู่ให้เวหา จับคู่ให้นภาไม่ได้ ก็เลยมาลงที่ปักษาแทน ...”
“ไว้พี่จะจัดการเรื่องนี้เอง” คนที่นั่งรับฟังอยู่ฝั่งตรงข้ามว่าเสียงเยือกเย็น ทว่าใบหน้าดุดันจึงทำให้คนที่กำลังเล่าสนุกปากไม่ต่างจากนกแก้วนกขุนทองหุบปากลงฉับ ผ่องที่ตักข้าวใส่จานให้เจ้านายทั้งสามครบแล้วรีบลี้ออกไปยืนตรงมุมต้นไม้ ไกลจากโต๊ะรับประทานอาหารพอประมาณ
อัปสรนภาขยับปรับท่านั่งอย่างสงบเสงี่ยม แล้วก้มหน้าหลุบตามองข้าวบนจาน ก่อนจะยกมุมปากขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ สำเร็จ คราวนี้ก็จะได้รู้กันเสียทีว่าใครกันที่อาจหาญ กล้าคิดที่จะพรากนกน้อยไปจากเธอและพี่ชาย
พระพายพัดผ่านยามค่ำของวัสสานฤดูที่เคยให้ความรู้สึกเย็นสบาย แต่ในวันนี้กลับหนาวเหน็บลึกๆอยู่ภายใน อนิลบถเอนหลังลงนอนบนเก้าอี้โยกที่ตั้งอยู่บนระเบียงห้องนอน ยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก ทอดสายตามองดวงดาวระยิบระยับผ่านม่านจันทรา
‘เวหานี่ก็ประไร หวงน้องไม่เข้าเรื่อง’
‘เช่นนั้นเรื่องนี้คงเป็นนภาที่ตีความผิดเองอีกตามเคย’
‘แหนะ แม่พูดเมื่อไหร่กันว่าน้องตีความผิด’
‘คุณแม่ครับ ...’
‘เอาล่ะๆ เมื่อถึงเวลา แม่ว่า ... เวหาน่าจะเป็นคนแรกที่รู้ว่าคนคนนั้นคือใคร’
บทสนทนาระหว่างเขากับมารดาเมื่อช่วงเย็นยังก้องอยู่ในหู อนิลบถประสานมือแล้วนำไปวางหลังท้ายทอย คิ้วหนาที่โค้งเป็นมุมกระตุก ยามประโยคค้างคาที่เพื่อนสนิททิ้งท้ายเอาไว้เวียนเข้ามาให้ห้วงความจำ
‘ก็วันนั้นฉันยังกินข้าวมันไก่ไม่หมดจาน กลับไปรอบนี้จะขอลองฝีมือปักษาเมนูอื่นบ้าง’
‘ฉันกับแกกว่าจะเจอกันก็คงอีกสักพัก ส่วนไอ้เวหาคาดว่าจะได้เจอกันแทบทุกวัน’
“ไม่น่า ... ไม่น่าใช่” อนิลบถพึมพำ ยอมรับกับตัวเองในใจว่าไม่เคยคิดเรื่องออกเรือนของศกุนตลามาก่อน ถึงแม้ว่าน้องสาวคนนี้จะงามพิลาศ แต่ความต่างในตัวของเธอทำให้เขาห่วงหวง กางปีกขวางไว้ไม่ยอมให้ใครมาข่มเหง ทั้งยังป้องปกไม่ให้หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองผิดแผกว่าสิ่งขาดหายคือปมด้อย สิ่งที่เขาและครอบครัวปฏิบัติเสมอมานั่นก็คือสร้างความมั่นใจ ให้เธอสัมผัสถึงความกลมกลืน ความต่างที่ว่าไม่ได้เป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิต แต่กระนั้นเกราะที่พวกเขาสร้างขึ้นสามารถวัดผลได้เพียงภายในขอบเขตรั้วบ้านวงศ์คคนานต์เท่านั้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“หือ ...” อนิลบถหันไปมองตามเสียง ก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปในห้องนอนเพื่อเปิดประตู
เจ้าของดวงตากลมโตจ้องใบหน้าเจ้าของห้องเป็นเชิงขออนุญาตกึ่งกดดันให้อนุญาต อนิลบถยกมุมปากขึ้นก่อนจะผายมือ ศกุนตลาคลี่ยิ้มหวานแล้วเดินเข้าไปด้านใน แล้วหันกลับมาสบตาเจ้าของห้องอีกรอบ อนิลบถพยักหน้าอย่างรู้ทันคำถามที่ส่งผ่านมาทางสายตาคู่หวาน ศกุนตลายิ้มกว้างพร้อมกับเดินถือสมุดบันทึกออกไปนั่งยังระเบียงห้อง
“นอนไม่หลับหรือคะ” เจ้าของห้องถาม
ศกุนตลาพยักหน้า เปิดสมุดบันทึก แล้วจดปลายดินสอ
‘ปักษาขอโทษที่มารบกวนเวลาพักผ่อน’
“พี่ก็นอนไม่หลับเหมือนกัน”
‘อยู่ชายแดนก็นอนดึกหรือคะ’
อนิลบถหลุบตาอ่านคำถามบนหน้ากระดาษแล้วส่ายหน้า “อยู่ที่โน้นเสร็จงานก็ต้องรีบนอน เผื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดจะได้มีแรงขับเครื่องบิน”
‘พี่เวหาซูบลงนะคะ’
“หรือคะ” อนิลบถแสร้งยกมือขึ้นคลำวงหน้าตัวเองก่อนว่าต่อ “พี่คงคิดถึงกับข้าวที่บ้านมากไป อยู่ที่โน้นเลยไม่เจริญอาหาร”
ศกุนตลาเบิกตากว้าง แล้วตวัดปลายดินสออีกรอบ ‘พี่เวหาอยากกินอะไรเป็นพิเศษคะ พรุ่งนี้ปักษาจักได้ลงครัวเตรียมไว้ให้’
อนิลบถหัวเราะเสียงในลำคอ “มาหาพี่ดึกๆดื่นๆแค่จะมาถามว่าอยากกินอะไรดอกรึ”
คนถูกรู้ทันยิ้มอ่อน ก่อนจะก้มหน้าตั้งใจถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดผ่านตัวอักษรบนหน้ากระดาษ
‘ปักษาไม่อยากไปอยู่กับคนอื่นค่ะ หากพี่เวหา นภา คุณลุง คุณป้าจะเมตตา ขอปักษาอยู่ที่นี่ตลอดไปได้หรือเปล่าคะ’
อนิลบถอ่านข้อความทวนอีกรอบแล้วเงยหน้าขึ้น “ทำไมปักษาถึงคิดแบบนั้น หรือว่า ... ได้ยินที่พี่คุยกับคุณแม่เมื่อเย็น”
ศกุนตลาพยักหน้า‘ปักษาไม่ได้แอบฟังนะคะ บังเอิญเดินผ่านพอดีก็เลย ...’
“เก็บเอาไปคิดคนเดียว” อนิลบถต่อประโยคให้ก่อนที่เธอจะเขียนจบ ใบหน้าหมดจดพยักขึ้นลงอีกรอบ
“มีใครอยากให้ปักษาไปอยู่กับคนอื่นที่ไหนกัน เมื่อเย็นพี่แค่ถามคุณแม่เรื่องที่นภาบอก” อนิลบถเล่า พลางลุกขึ้นไปนั่งบนพนักเก้าอี้ตัวที่คนคิดมากนั่งอยู่ วาดวงแขนโอบไหล่บอบบางเอาไว้แล้วจึงว่าต่อ
“ปักษาฟังพี่นะคะ พี่จะไม่ยอมยกปักษาให้ไปอยู่กับคนอื่นเด็ดขาด”
*,** เพลงพบเธอแล้ว ประกอบภาพยนตร์ไทยพูด (ในฟิล์ม) เรื่องเพลงหวานใจบริษัทภาพยนตร์เสียงศรีกรุง จำกัด ฉายครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๘๐
ความคิดเห็น |
---|