
๙
พ่อคนเอื้อเฟื้อ
วันเสาร์
พรรณวษาขับรถมาจอดหน้าคอนโดของเดือนธันวาตอนแปดโมงเพื่อรับเขาไปวัด วันนี้เธอบอกทุกคนว่าจะพาน้องเสือไปเที่ยวสวนสนุก แต่ไม่ได้บอกว่านัดเขาไปด้วย ครั้นอัมพิกาจะให้แตนกับอ้อยไปด้วยเธอก็ปฏิเสธ โชคดีที่สองสาวมีนัดเที่ยวกับเพื่อนหลังสอบจึงใช้เป็นข้ออ้างได้เพิ่ม
‘วันนี้เพ้นท์จะโชว์ศักยภาพความเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวค่ะ ดูแลลูกเองทั้งวัน’ เธอว่ากับบิดามารดาเช่นนั้น แต่ทั้งสองส่ายหน้าพรืด
‘คนเยอะ ทำลูกหายขึ้นมาแม่ไม่ให้ซื้อใหม่นะ’
‘คุณแม่! ไม่มีใหม่แล้วค่ะ คนนี้คนเดียวตลอดชีวิต เพ้นท์คงไม่ให้เล่นเครื่องเล่นหรอกค่ะ พาดูนั่นดูนี่เฉยๆ ไว้ใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์’
สุดท้ายศุกลก็ตัดสินใจปล่อยเพื่อให้พรรณวษาได้ทำหน้าที่แม่อย่างเต็มที่ตามที่ต้องการ แต่ว่าจะให้อัมพิกาโทร.ไปถามเป็นระยะว่ายังอยู่ดีมีสุขไหม
ส่วนคาร์ซีตเธอยังไม่มีโอกาสไปหาซื้อจึงต้องคาดเข็มขัดนิรภัยให้ลูกเพียงอย่างเดียว เสียวอยู่เหมือนกันว่าจะโดนเดือนธันวาตำหนิ
“ยายนีๆ”
พอไม่เจอเสาวนีย์เด็กชายก็บ่นหา พรรณวษาถึงกับหัวเราะ
“วันนี้ไม่มีคุณยายนีนะคะ มีแม่เพ้นท์กับคุณพ่อ...เอ่อ คุณเดือนธันวา” เธอรีบเปลี่ยนคำเรียกเมื่อนึกออกว่าไม่ให้ลูกจำแบบนั้นต่อไป แต่ชื่อของเขาออกจะยาวไปหน่อย เธอจึงสอนให้ใหม่ “แม่เพ้นท์กับคนดุ พูดตามสิคะ คนดุ”
“งืม...”
“นั่นๆ คนดุมาแล้วค่ะ” เธอชี้ไปนอกรถทันทีที่เห็นร่างสูงเดินออกมาจากคอนโด “พูดตามแม่เพ้นท์ก่อน คนดุ!”
“ดุ!”
“ใช่แล้ว”
“ป้อดุ!”
“ไม่เอาคำว่าพ่อสิคะ แค่คนดุ...”
พูดไม่ทันจบเดือนธันวาก็เปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับซึ่งน้องเสือนั่งอยู่ และเอ่ยทักทายอย่างไม่รู้อะไร
“สวัสดีครับ” พอเห็นว่ายังไม่มีคาร์ซีตในรถจึงเสนอ “เดี๋ยวผมขับให้ คุณมานั่งกับเขา...”
“ป้อดุ!”
สายตาคมตวัดมองเด็กชายที่ชี้หน้าเขาและเอ่ยเรียกอย่างมั่นใจว่าไม่ผิดแน่ หญิงสาวคิดไว้ว่าบรรยากาศมันจะออกมาขำๆ แต่ตอนนี้กลับต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่เพราะรู้สึกได้ถึงรังสีทะมึนจากอีกฝ่าย
และเพื่อทำลายบรรยากาศนี้ เธอตะโกนขึ้นมาพร้อมเปิดประตู
“ได้ค่ะ! มาขับเลยค่ะคุณเดือนธันวา”
ชายหนุ่มจ้องมองเด็กชายต่ออีกสามวินาทีก่อนจะอ้อมรถไปนั่งอีกฝั่งและให้พรรณวษาเข้ามาแทนที่ ทันทีที่ประตูสองฝั่งปิดลงน้องเสือก็ตะโกนพูดคำเดิม
“ป้อดุๆๆ”
โดยไม่เอ่ยปากขออนุญาต คนขับเปิดวิทยุเสียงดังเพื่อกลบเสียงเด็ก แน่ใจว่าหยุดพูดแล้วถึงค่อยลดเสียงให้
ระยะทางไปวัดไม่ค่อยไกล ใช้เวลาเดินทางยี่สิบนาทีก็ถึง ก่อนเข้าไปในวัดเดือนธันวาแวะซื้อชุดถวายสังฆทานสามชุด ในวันครบรอบวันตายหนึ่งร้อยวันเขาตั้งใจทำแค่ถวายสังฆทาน ไม่ทำพิธีอะไรใหญ่โตเพราะงานศพก็ไม่ได้มีคนเยอะมากมาย
“งานศพจัดที่นี่หรือเปล่าคะ” พรรณวษาถามขณะอุ้มน้องเสือตามเขาไปยังกุฏิหลวงพ่อ เช้าวันนี้ภายในวัดค่อนข้างเงียบสงบเนื่องจากไม่ตรงกับวันพระ จึงไม่มีใครแวะเวียนมาเท่าไร
“ครับ กระดูกก็เก็บไว้ที่นี่”
“น้องสือเคยมาไหมคะ”
“ไม่ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นให้น้องเสือไปเยี่ยมสักหน่อยนะคะ”
เขาไม่ตอบอะไร เพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น ใกล้กุฏิมีพระรูปหนึ่งผ่านมาพอดี เขาจึงเข้าไปแจ้งเรื่องว่าจะถวายสังฆทานสามชุด
พรรณวษาจำไม่ได้ว่าครั้งล่าสุดที่เข้าวัดคือเมื่อไร และถัดจากวันนี้ไปจะได้มาอีกหรือไม่ วันนี้มีโอกาสจึงทำทุกกระบวนการอย่างตั้งใจ ทั้งถวายสังฆทาน ตั้งใจรับพร ตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ภรรยาของเดือนธันวาผู้ล่วงลับไปแล้วยอมให้เธอเป็นแม่คนใหม่ของน้องเสือ และช่วยดูแลลูกชายคนนี้ให้รอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง จบด้วยเดินหยอดตู้บริจาคจนครบ
เสร็จสิ้นภารกิจแล้วเดือนธันวาก็พาพรรณวษาไปยังบริเวณที่เก็บอัฐิตามสัญญา เธอได้เห็นรูปขาวดำของ ‘รังสิมา ธนาบดินทร์’ แม่แท้ๆ ของน้องเสือ หญิงสาวคนนั้นมีใบหน้ารูปไข่ ตาชั้นเดียว แววตาที่ทอดมองมาและรอยยิ้มบางดูคล้ายกับโมนาลิซ่าอย่างบอกไม่ถูก
ดูเป็นปริศนา อ่านยากพอกับคนเป็นสามี...
เลื่อนสายตามองร่างสูงข้างกายพบว่าเขายืนเงียบมองรูปของรังสิมาคล้ายกับเหม่อลอย อาจจะกำลังคิดถึงเรื่องในอดีต พรรณวษาไม่สามารถคาดเดาความคิดเขาได้เลยสักครั้ง
ร่างบางเข้าไปใกล้รูปขาวดำ เด็กชายในอ้อมแขนมีปฏิกิริยาต่อรูปนั้นด้วยการยื่นมือไปแตะ ไม่เอื้อนเอ่ยคำใดออกมา
“เขาสนิทกับแม่ไหมคะ” เธอถามคนข้างๆ เขาพยักหน้าตอบ “อย่างนี้พอแม่ไม่อยู่แล้วคงร้องไห้น่าดู”
อีกฝ่ายพยักหน้าอีก ก่อนที่เสียงฝีเท้าของใครบางคนจะเรียกสายตาของเขาให้หันไปมอง
ผู้มาใหม่เป็นชายหนุ่มอายุไม่ต่างจากทั้งสอง อยู่ในชุดสีดำสนิททั้งตัว พอเห็นว่ามีคนอยู่ก็หยุดชะงัก ยืนห่างไปประมาณสิบก้าว นัยน์ตาคมปลาบไล่มองตั้งแต่เดือนธันวา พรรณวษา และหยุดอยู่ที่น้องเสือเนิ่นนานด้วยความรู้สึกแปลกใจ
ก่อนที่เดือนธันวาจะเอาตัวเข้ามาบังหญิงสาวกับเด็กชายไว้และเผชิญกับคนตรงหน้าในระยะห่างเท่าเดิม
“มาทำบุญเหรอ” อีกฝ่ายถามเสียงเรียบ
จังหวะนั้นพรรณวษาแอบชะโงกหน้ามองคนถาม ทันทีที่ได้เห็นหน้าชัดๆ ก็เบิกตาโต หันมองหน้าเด็กที่ตัวเองอุ้มอยู่ทันที
“อืม กำลังจะกลับแล้ว” เดือนธันวาตอบด้วยน้ำเสียงแบบเดียวกัน หญิงสาวเลยเดาว่าสองคนนี้ไม่ลงรอยกันเท่าไร
“แล้วนั่น...”
“เพื่อนกับลูกของเพื่อน” เขาตอบ ก่อนจะเอื้อมมือมาจับต้นแขนของเธอ “กลับกันเถอะ”
“ค่ะ เอ่อ...นั่นเพื่อนคุณเหรอ” เธอถามเสียงเบา เขาไม่ตอบแต่ดึงเธอให้ตามไป แต่แล้วก็ชะงักเพราะคำทักจากอีกฝ่าย
“ไม่คิดเลยนะว่านายยังอยู่กรุงเทพฯ นึกว่าเสร็จงานศพแล้วจะกลับเชียงรายไป”
“ไม่ใช่เรื่องของนาย”
“อยู่คุยกันก่อนสิเดือนธันวา หลังจากวันนี้จะได้เจอกันอีกไหมไม่รู้”
“ไม่มาเจอกันก็ดีแล้วนี่!”
เดือนธันวาอาจจะเคยดุทั้งเธอและน้องเสือ แต่ไม่ได้ถึงกับหัวเสียขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เธอเห็นเขาขึ้นเสียงใส่ใครสักคนด้วยความโมโห
ทว่าคู่สนทนากับทำเหมือนอาการของเขามันตลกสิ้นดี
“ฉันไปทำอะไรให้นายโกรธเหรอ สองปีที่แล้วนายคือคนชนะ ได้แต่งงานกับส่าหรี แล้วหลังจากนั้นเราก็ไม่ข้องเกี่ยวกันอีก ทำไมมาเจอกันอีกครั้งถึงยังตั้งท่าเกลียดขี้หน้าอยู่อีก”
“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้...ว่านายกับส่าหรีทำอะไรลับหลังฉันนะ ภูริน”
น้ำเสียงเย็นเยียบถึงกระดูกทำให้ลมหายใจของภูรินสะดุดกึก จังหวะนั้นเดือนธันวารีบพาพรรณวษาออกห่างจากสายตาของ ‘อดีตเพื่อนสนิทของภรรยา’ ทว่าสายตาของน้องเสือที่มองหลังได้ประสานกับชายหนุ่มที่เพิ่งพบพานกันเป็นครั้งแรก
ภูรินย่นคิ้วแปลกใจอีกครั้ง สองขาก้าวตามไปก่อนที่สมองจะสั่งการให้หยุดเพราะมันไร้เหตุผล เมื่อทั้งสามลับสายตาไปเขาจึงหันไปมองภาพของหญิงสาวที่ล่วงลับไปแล้วหนึ่งร้อยวัน
“สบายดีนะส่าหรี”
มองรูปเธอกี่ครั้งก็ยังคิดถึง และแม้ไม่มองรูป...ก็ยังคิดถึงอยู่ดี
ฝ่ามือหนาวางทาบลงบนภาพใบหน้าเกลี้ยงเกลา เค้าความเศร้าเสียใจปรากฏในแววตาคู่คม
“เธอไม่น่ามาหาฉันเลย ไม่อย่างนั้นชีวิตเธอคงไม่จบแบบนี้”
จุดหมายปลายทางคือสวนสนุก...แต่ระหว่างทางคือสวนสงัดแท้ๆ
พรรณวษาลอบมองหน้าคนขับรถอยู่หลายครั้งและพบว่าปมคิ้วของเขาไม่คลายลงแม้แต่วินาทีเดียว ซ้ำยังเหยียบคันเร่งจนเธอต้องกอดลูกแน่น ลางสังหรณ์บอกว่าผู้ชายที่ชื่อภูรินไม่ใช่แค่เพื่อนหรือคนรู้จักทั่วไปของเดือนธันวา แต่เป็นมากกว่านั้น...
อาจจะไม่ใช่ลางสังหรณ์ที่บอก แต่เป็นใบหน้าของภูรินที่คล้ายคลึงกับน้องเสือต่างหากที่บอก
เอาใบหน้าของรังสิมาหรือ ‘ส่าหรี’ มารวมกับภูรินแล้ว อย่างไรก็คือเด็กในอ้อมกอดของเธอคนนี้!
“คุณเดือนธันวา ไฟแดง!!”
เอี๊ยดดด!
ชายหนุ่มที่เพิ่งได้สติเหยียบเบรกทันที ใจที่ลอยเมื่อสักครู่กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ก่อนจะเต้นตึ้กตั้กด้วยความตกใจเพราะเกือบขับฝ่าไฟแดง
“ขอโทษครับ” เขาหันไปบอกคนข้างกาย ก่อนจะมองเด็กชายที่เธอรัดแน่นโดยอัตโนมัติ
“ฮึก ฮืออ”
“คุณใจเย็นๆ สิคะ น้องเสือร้องไห้เลย!” เธอมุ่นคิ้วใส่ ก่อนจะถูกอีกฝ่ายจิ้มแขนสองสามที
“คุณกอดเขาแน่นไป เขาเลยร้อง”
“อ้าว...” เธอลองปล่อยเด็กชาย เท่านั้นเจ้าตัวก็เริ่มร้องเบาลงๆ จนเงียบในที่สุด เธอจึงบอกลูกโดยที่ยังทำหน้ามุ่ย “โถ่ แม่เพ้นท์กลัวน้องเสือหน้าทิ่มนี่ แขนแม่เพ้นท์คือเข็มขัดนิรภัยนะ”
“แมะเป๊น”
“อุ๊ย เพ้นท์ลืมเล่าเลยค่ะคุณเดือนธันวา น้องเสือเรียกเพ้นท์ว่าแม่เพ้นท์แล้วนะคะ” เรื่องนี้ทำให้เธอคลี่ยิ้มออกมา ทว่าพอหันไปหาคู่สนทนาก็นึกขึ้นได้ว่ากำลังหงุดหงิดอยู่จึงตีหน้าขรึมใส่ “ขับรถดีๆ ค่ะ ช้าหน่อย รถมีเด็กนะคะ”
ถึงตาเธอดุบ้างแล้ว ให้เขารู้ซะบ้างว่าคนอย่างพรรณวษาไม่ได้ทำผิดเป็นอยู่ฝ่ายเดียว!
“ครับ” เขารับคำสั้นๆ แล้วหันมองสัญญาณไฟ ปล่อยให้รถเงียบได้สักพักเธอก็กลัวว่าเขาจะเหม่ออีกจึงชวนคุย
“คนนั้นเพื่อนเหรอคะ ที่ชื่อภูริน”
“คนรู้จักครับ ไม่ได้สนิทกันมาก”
“เหรอคะ คุณเดือนธันวาคิดว่าเขาหน้าเหมือนน้องเสือไหมคะ”
“...”
“ที่สำคัญคือเขามาเยี่ยมภรรยาของคุณด้วย”
“คุณพรรณวษา” เขาหันมามองหน้าเธออีกครั้ง คราวนี้ดวงตาจ้องมองเพียงแค่เธอ ใช้เสียงหนักย้ำทุกคำพูดให้ชัดเจน “เสือเป็นลูกของคุณ และผมมีสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมายที่จะยกเขาให้คุณ เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องห่วงว่าตัวเองจะต้องขึ้นโรงขึ้นศาลหรอก”
“เพ้นท์แค่สงสัยค่ะ แล้วนี่เขารู้หรือเปล่าว่าเขามีลูกชาย”
“เขาไม่รู้ครับ”
“เพราะน้องเสือโตที่เชียงรายสินะคะ”
พรรณวษาเริ่มจะเชื่อมโยงเรื่องราวคร่าวๆ ในหัวได้บ้าง รังสิมาอาจจะแอบคบกับภูรินลับหลังสามีจนมีหลักฐานเกิดในท้อง เดือนธันวาที่ทำใจเลี้ยงลูกคนอื่นไม่ได้จึงยกให้เธอหลังภรรยาเสียชีวิต
แล้วถ้าภูรินรู้ล่ะว่ามีลูก...รายนั้นจะมาพรากลูกของเธอไปไหม
พอสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว เดือนธันวาก็ออกรถด้วยความเร็วที่น้อยกว่าเดิม พาทุกคนไปถึงสวนสนุกโดยปลอดภัย
เอาละ ถึงที่ที่สนุกแล้ว เธอควรจะปัดเป่าเรื่องหนักใจออกไปให้หมดแล้วเริ่มมีความสุขกับปัจจุบัน!
“คุณเดือนธันวาคะ เดี๋ยววานเอารถเข็นหลังรถให้หน่อยนะคะ” เธอบอกเขาหลังลงมาจากรถ
เขาทำตามอย่างว่าง่าย ทว่าพอเปิดท้ายรถกลับไม่เจออะไร “อยู่ไหนครับ”
“หือ” หญิงสาวรีบเดินไปดูท้ายรถที่ว่างเปล่า ก่อนจะเบิกตากว้าง “เฮ้ย! ว่าแล้วลืมอะไร ลืมเอารถเข็นเด็กมา!”
เธอจำได้ว่าเมื่อเช้าตั้งใจจะเอามาใส่รถไว้ ทว่าอัมพิกาดันชวนคุยจนลืมหมดสิ้นทุกอย่าง ซ้ำยังเข้าใจว่าเอามาแล้วด้วย ตอนไปวัดก็ไม่ทันได้เปิดดู
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องอุ้มเอา” ชายหนุ่มสรุปขณะปิดท้ายรถ อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกหงักทั้งที่ยังเจ็บใจความจำของตัวเองไม่หาย อุ้มคนเดียวตลอดเวลาคงได้ปวดแขนแน่นอน สถานที่คนพลุกพล่านแบบนี้ปล่อยเด็กไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อได้มาสถานที่ไม่คุ้นตาเด็กชายก็กวาดตามองรอบๆ และยิ้มกว้างอย่างพอใจ เดือนธันวารับหน้าที่ไปซื้อตั๋วเข้าสวนสนุกแบบไม่เน้นเครื่องเล่นเท่าไร จึงได้ตั๋วราคาถูกสุดมา
ทุกการใช้จ่ายของเขาพรรณวษาถามตลอดว่าเท่าไรบ้างและจดจำไว้ในหัวก่อน มีเวลาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเมื่อไรค่อยจด เพราะตอนนี้เธอต้องอุ้มลูกเดินรอบสวนสนุก เจอร้านค้าก็แวะเข้าไปเพื่อเลือกของเล่นและขนมหวานให้เจ้าตัวเล็ก
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ เสาร์อาทิตย์แบบนี้เธอจะไปเดินชอปปิงกับเพื่อนๆ หรือไม่ก็กับอัมพิกา ไปทำเล็บทำผมบ้างแล้วแต่โอกาส แต่ตอนนี้เมื่อต้องอุทิศเวลาส่วนตัวให้น้องเสือ เธอไม่นึกเสียดายกิจกรรมเพื่อตัวเองพวกนั้นสักนิด กลับกัน...เธอรู้สึกสนุกและมีความสุขกับช่วงเวลานี้มาก
...เด็กคนนี้มหัศจรรย์จริงๆ
“เดี๋ยวแม่เพ้นท์ซื้อช็อกโกแลตให้นะคะ รสคาราเมลอร่อย” มือบางหยิบถุงช็อกโกแลตให้ลูกดู ก่อนจะถูกคนที่มาด้วยขัด
“ถุงใหญ่ไปครับ กินหมดนั่นฟันผุพอดี” ไม่พูดเปล่า เขาหยิบช็อกโกแลตซองเล็กให้เธอดูด้วยว่ามีขายเหมือนกัน “แค่นี้ก็พอ”
“เอาถุงใหญ่ไปเลยค่ะ ไว้แบ่งทุกคนในบ้าน พอหลานๆ มาก็แจกไปเรื่อย” เธอส่งยิ้มให้ชายหนุ่มที่ทำหน้าไม่เห็นด้วยแล้วยัดถุงใหญ่ใส่มือเขาอย่างเอาแต่ใจ “ฝากถือหน่อยนะคะ คุณเอาซองนั้นมาด้วยก็ได้ เพ้นท์ซื้อให้คุณชิม รสนี้อร่อยจริงๆ”
เดือนธันวาวางขนมซองเล็กลงทันที ก่อนจะเดินไปหยิบตะกร้ามาใส่ของ เพราะหญิงสาวทำท่าว่าจะไม่หยุดซื้อง่ายๆ
“ไวต์ช็อกโกแลตก็อร่อยนะคะน้องเสือ ซื้อ” ช็อกโกแลตอีกถุงถูกหย่อนลงในตะกร้า ต่อด้วยคุกกี้ช็อกโกแลตชิปอีกสามห่อ “อันนี้ปั่นกับมิลก์เชกแล้วอร่อยเด็ด แม่เพ้นท์คอนเฟิร์ม”
“ตอนคุณทำมิลก์เชกได้ใส่นมข้นหวานหรือเปล่า” คนถือตะกร้าถามทันที
คนถูกถามตอบทันทีเช่นกัน “ใส่สิคะ ไม่ใส่ไม่ได้”
“คุณพรรณวษา มันไม่ดีต่อสุขภาพ”
“เพ้นท์ทำกินเองงง”
“ก็สุขภาพคุณด้วยนั่นแหละ”
พรรณวษาสบตาเดือนธันวาด้วยความแปลกใจ ห่วงน้องเสือยังพอว่า แต่ห่วงใยสุขภาพของเธอด้วยนั้นอาจหมายความว่าสนิทขึ้นมาอีกขั้น เวลาเธอเลือกแต่ของทำลายสุขภาพห่อใหญ่ๆ มาใส่ในตะกร้าเขาจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ตลอด
ด้วยความที่อยากให้เขาอารมณ์ดีจึงหยิบไวต์ช็อกโกแลตออก เนื่องจากมีส่วนผสมของนมข้นหวาน แคลอรีมากที่สุดในหมวดหมู่ช็อกโกแลต
“ผมเอาไปจ่ายเงินนะครับ”
“เดี๋ยวก่อนค่ะ”
เขาเงียบใส่ สายตาที่จ้องมองบอกว่าถ้าซื้ออีกจะเริ่มดุแล้ว เธอจึงรีบเปิดกระเป๋าสะพายเพื่อหยิบบัตรเดบิตออกมาให้เขาอย่างทุลักทุเล
“เอาบัตรของเพ้นท์ไปด้วยค่ะ อย่าลืม”
หลังจากเดินเล่นไปเรื่อยน้องเสือก็ส่งเสียงร้องอ้ำๆ ว่าหิวแล้ว อีกทั้งยังชี้รถเข็นข้างทางซึ่งขายฮอตด็อกหอมกรุ่น พรรณวษาไม่รีรอที่จะหยุดซื้อมาสามไม้เพราะมันหอมชวนน้ำลายสอจริงๆ พอได้มาเด็กน้อยก็จะแย่งไปจากมือท่าเดียว เธอจึงต้องยื่นให้ผู้ช่วยส่วนตัวไปถือไว้แล้วเปลี่ยนแขนอุ้มเพราะเริ่มเมื่อย
“เดี๋ยวเราหาที่นั่งกินกันนะคะน้องเสือ ตอนนี้ยังกินไม่ได้ มันร้อนอยู่”
เดือนธันวากวาดตามองหาที่นั่งพัก ทว่าม้านั่งยาวข้างทางล้วนถูกผู้คนจับจองจนไม่เหลือที่ว่างให้สองแม่ลูกนั่ง อีกทั้งเด็กชายเริ่มดิ้นแรงด้วยความหิว
“กิงๆๆ อืออ ฮึก แง้”
“โอ๋ ไม่ร้องค่ะไม่ร้อง คุณ...” หญิงสาวอ้าปากจะบอกให้คนข้างๆ ช่วยป้อนก่อน ไม่คิดว่าจะหันไปเห็นตอนเขาหยิบฮอตด็อกไม้หนึ่งออกมาเป่าพอดี จากนั้นก็ยื่นไปชิดปากเล็ก วินาทีต่อมาฮอตด็อกไม้นั้นก็ถูกกัดไปหนึ่งคำ
พอลูกสงบแล้วหญิงสาวก็เบาใจ เอ่ยขอบคุณเขาแล้วคุยกับลูกชายที่เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
“อร่อยไหมคะ เอาอีกไหม”
“อ้า”
พอเด็กน้อยอ้าปากเดือนธันวาก็ส่งฮอตด็อกให้กัดอีก ขณะที่พรรณวษาหยิบทิชชูจากกระเป๋าสะพายมาเช็ดปากให้ลูก กระเป๋าของเธอใบใหญ่และบรรจุของใช้จำเป็นสำหรับเด็กเอาไว้เกือบครบ แทบจะเป็นกระเป๋าหน้าท้องของโดราเอมอนอยู่แล้ว
“คุณกินได้นะคะ เพ้นท์ซื้อมาให้คนละไม้” เธอหันไปบอกคนมีน้ำใจ ก่อนจะนิ่งอึ้งเมื่อเขาหยิบอีกไม้มาเป่าเล็กน้อยและยื่นให้ถึงปากเธอ
“ของคุณ”
“เอ่อ...” นี่เขาจะป้อนเธอหรือ
ในเมื่อเธอลีลาน้องเสือก็ยื่นหน้ามาจะกินแทน แต่ชายหนุ่มหลบทัน แล้วยื่นไม้เดิมให้เด็กชายกินต่อ ครั้งนี้คนที่ทำตัวไม่ถูกทีแรกเริ่มทนหิวไม่ไหวจึงเรียกให้เขาสนใจเธออีกรอบ
“คุณเดือนธันวาคะ ขอคำนึงค่ะ อ้า”
เขาอยากจะขำเวลาหญิงสาวอ้าปากกว้าง แต่เกร็งใบหน้าไว้ได้ สุดท้ายก็ยื่นฮอตด็อกไม้ใหม่ให้เธอกัดและเคี้ยวแข่งกับเด็ก
“อร่อยค่ะ คุณลองดูสิ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมว่าจะกินข้าว”
“จริงด้วยค่ะ ฮอตด็อกไม่ค่อยอยู่ท้องเท่าไร แต่ขออีกคำนะคะ” ว่าแล้วก็อ้าปากรับฮอตด็อกอีก ขณะที่น้องเสือเพิ่งกินไปแค่เศษหนึ่งส่วนสี่ของไม้ พรรณวษาจัดการไปแล้วครึ่งหนึ่ง
เดือนธันวาต้องคอยสลับไม้เพื่อป้อนให้ทั้งแม่และเด็ก สุดท้ายคนแม่ก็กินหมดก่อน เขาจึงหยิบไม้สุดท้ายที่ควรเป็นของเขาออกมา
“เอาอีกไหมครับ”
“ไม่เอาแล้วค่ะ เราหาที่กินข้าวเถอะ เพ้นท์อยากนั่งพัก” เธอทำหน้าเมื่อยพอกันกับแขน อีกฝ่ายจึงเก็บฮอตด็อกและเดินนำไปยังโซนร้านอาหาร
ระหว่างทางผ่านเครื่องเล่นมากมาย เธอชี้ให้ลูกดูนั่นดูนี่ ก่อนจะหยุดอยู่หน้าม้าหมุนซึ่งคนเล่นไม่เยอะเท่าไรเพราะไม่ใช่เครื่องเล่นหวาดเสียวที่คนส่วนใหญ่ชอบ แต่มันเหมาะกับคู่แม่ลูกอย่างเธอและน้องเสือมากๆ
“คุณเดือนธันวาคะ เพ้นท์จะเล่นม้าหมุนกับน้องเสือสักรอบเป็นการพัก ไปด้วยกันไหมคะ”
“ม้าหมุน?” ชายหนุ่มทวนคำพลางมองเครื่องเล่นเดียวกับเธอ ไม่ทันได้ตอบอะไรเธอก็อุ้มเด็กไปรอคิวเล่นม้าหมุนรอบถัดไปแล้ว
เขาไม่ได้จะห้าม น้องเสือควรได้มีประสบการณ์เล่นอะไรสนุกๆ แบบนี้บ้าง เพราะตั้งแต่อยู่กับเขามาเด็กชายไม่เคยได้ไปไหนเลย
พรรณวษารู้สึกเหมือนได้ย้อนวัยเมื่อขึ้นไปนั่งบนม้าสีขาว เจ้าหน้าที่กำชับเธอว่าให้จับเด็กดีๆ เธอจึงกอดลูกไม่ปล่อยขณะที่ม้าเคลื่อนที่วนเป็นวงกลม น้องเสือแสดงอาการตื่นเต้นด้วยการหัวเราะและตบมือ พาให้เธอหัวเราะไปด้วย
จังหวะหนึ่งเธอหันไปมองเดือนธันวาที่ยืนรออยู่ พบว่าเขาหยิบฮอตด็อกมากินรองท้องแล้ว
ความคิดเห็น |
---|