
1
บทลงโทษ
สามวันต่อมา
“คดีคนร้ายบุกปล้นธนาคารในห้างสรรพสินค้าชื่อดังถือเป็นเหตุการณ์ปล้นที่อุกอาจที่สุดในทศวรรษ คนร้ายมีด้วยกันหกคนปล้นธนาคาร และจับตัวประกันไว้รวมทั้งสิ้นสี่สิบสามชีวิต โดยเหตุการณ์นี้ทำให้มีคนบริสุทธิ์เสียชีวิตหนึ่งราย เป็นชายสูงวัยอายุหกสิบเจ็ดปี นอกจากนี้การปะทะกันระหว่างคนร้ายกับเจ้าหน้าที่ยังทำให้หน่วยรบพิเศษลิตเติ้ลไทเกอร์เสียชีวิตหนึ่งนาย คือร้อยตำรวจเอกภควัต รุ่งเรืองกาญจน์”
เสียงผู้ประกาศข่าวจากรายการข่าวโทรทัศน์เป็นเพียงเสียงที่ลอยผ่านเข้าหูคนฟัง โดยหญิงสาวไม่อาจรับรู้ข้อมูลที่ผู้ประกาศบรรยายได้ครบถ้วน
เหมือนมาลีกำโทรศัพท์ในมือแน่น เธอระงับอารมณ์แล้วต่อสายถึงสหัสวรรษทันที
“ว่าไงคุณแยม”
“ไม่น่าถามนะคะบอส”
หลังจากเหมือนมาลีส่งภาพหน่วยรบพิเศษที่กำลังจะเข้าจู่โจมคนร้ายไปให้สหัสวรรษ ภาพที่นำเสนอออกไปกลับให้ผลตรงกันข้ามกับที่สหัสวรรษคิดอย่างสิ้นเชิง แทนที่คนจะสรรเสริญเยินยอให้ความพยายามในการหาข่าวครั้งนี้ กลับได้แต่คำก่นด่าที่เรียกได้ว่าคิดคำแก้ตัวแทบไม่ทัน
นอกจากสำนักข่าวแซมบาร์นิวส์จะถูกโจมตีอย่างหนักแล้ว เหมือนมาลีที่เป็นผู้บันทึกภาพเหตุการณ์ก็ถูกสาปแช่งอย่างรุนแรงทางสื่อโซเชียลต่างๆ จากการที่เสี่ยงอันตรายเข้าไปในที่เกิดเหตุและอาจขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ประชาชนประณามการกระทำของเธออย่างรุนแรง กลายเป็นนักข่าวชั้นเลวที่กระหายข่าวอย่างไร้จรรยาบรรณ ชื่อกวางแห่งป่ายุติธรรมกลายเป็นแฮชแท็กที่คนเข้ามาด่าจนขึ้นเทรนด์อันดับหนึ่งในทวิตเตอร์ไทยแลนด์ไปหลายวัน
“เอาละ คุณใจเย็นๆ นะ”
“จะใจเย็นได้ยังไงอีกคะบอส แยมถูกด่าจนไม่มีที่ยืนในสังคมแล้ว บอสควรจะออกมาพูดอะไรสักอย่างเพื่อปกป้องแยมนะคะ”
“เอาน่าแยม ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้หรอก ใครจะคิดว่าเรื่องมันจะกลับตาลปัตรแบบนี้เล่า” สหัสวรรษเครียดจนหัวแทบระเบิด “สำนักข่าวของเรากำลังจะถูกฟ้องจากตำรวจ ผมก็แย่เหมือนกัน ผู้บริหารช่องวุ่นวายกันยกใหญ่”
“แล้วยังไงคะ บอสโยนความผิดให้แยมรับไปฝ่ายเดียวแบบนี้ไม่ได้นะคะ” เหมือนมาลีเดือดดาล มือไม้สั่นไปหมดหลังจากได้รู้ว่าสหัสวรรษให้สัมภาษณ์ว่าสำนักข่าวว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับสิ่งที่เธอทำ ซ้ำยังแสดงข้อสันนิษฐานอีกว่าที่เธอทำเพียงเพราะต้องการชื่อเสียงในฐานะนักข่าวสายลุยที่ใครๆ ต่างยกย่องในความกล้าหาญ
ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้นเลยสักนิด เธอไม่ได้ต้องการอะไรนอกจากเงิน เงินเพียงตัวเดียวที่ทำให้เธอตัดสินใจทำทุกอย่างตามคำร้องขอของสหัสวรรษ
หลังจากที่เธอออกมาจากห้างสรรพสินค้าได้ หน่วยลิตเติ้ลไทเกอร์ได้ใช้กำลังเข้าจับกุมคนร้ายโดยยุทธวิธีที่ฝึกมาอย่างดี แต่กลับเกิดข้อผิดพลาดบางอย่างจนเป็นเหตุให้ตำรวจต้องเสียชีวิตหนึ่งนาย
ข่าวนำเสนอออกไปว่าเป็นเพราะมีนักข่าวบางคนที่กระหายข่าวจนไร้สติ และเข้าไปรบกวนการทำงานเจ้าหน้าที่ทำให้เกิดเหตุน่าสลดดังกล่าว
“เรื่องนี้ต่อให้ผมออกรับแทนคุณ ยังไงมันก็ฟังไม่ขึ้นหรอกนะคุณแยม”
“บอสจะบอกว่าแยมผิดคนเดียวเหรอคะ”
“ผมไม่ได้บอก แต่เรื่องนี้สังคมกำลังตัดสิน ไม่ใช่สิ เขาตัดสินไปแล้ว บริษัทต้องเลี้ยงดูอีกหลายชีวิต คุณจะให้เราล่มจมไปพร้อมกับคุณหรือยังไงฮึแยม คุณช่วยใจกว้างหน่อยสิ”
“บอสกำลังพูดอะไรคะ” เหมือนมาลีฉลาดพอที่จะฟังออกว่าสหัสวรรษคิดทำอะไร
“ก็...”
อีกฝ่ายอ้ำอึ้ง เหมือนมาลีระงับสติอารมณ์อย่างสุดความสามารถเพื่อรอฟังสิ่งที่สหัสวรรษจะบอก
“คือว่า...เรามีความจำเป็นที่จะต้องไล่คุณออก เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของช่อง”
“บอส!”
“อย่าเพิ่งโกรธไปเลยนะ คุณอยู่ต่อไปก็ไม่ได้การันตีว่าจะได้กลับไปเป็นนักข่าวที่มีชื่อเสียงเหมือนเดิมแล้ว ร้ายไปกว่านั้นคุณอาจจะกลับมาเป็นนักข่าวไม่ได้อีกแล้วด้วยซ้ำ เราทำก็เพื่อคุณนะ”
“เพื่อฉัน? ตรงไหนไม่ทราบที่คุณทำเพื่อฉัน!” เหมือนมาลีตะคอกกลับไป ถ้ามีประตูทะลุมิติเธอคงทะลุไปอัดเขาแล้ว “ทุกอย่างที่ทำคุณก็ทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น”
“ฟังนะ”
“ฟังอยู่”
“โธ่...ฟังก็อย่าพูดแทรกจะได้มั้ย”
เหมือนมาลีขบเขี้ยวเคี้ยวฟันที่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการเงียบแล้วรอฟังด้วยความอดทน
“ถ้าผมไม่ปลดคุณออก ตำรวจจะจับคุณ ข้อหาที่คุณเข้าไปขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ จนอาจเป็นเหตุให้การปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นไปตามแผน”
“ฉันเนี่ยนะ ขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่”
“แต่คุณเองเข้าไปเจอหน่วยรบพิเศษคนหนึ่งจนได้รูปเขามาอย่างไรเล่า แล้วทางนั้นก็ให้สัมภาษณ์ด้วยว่าการพบคุณทำให้เขาไปถึงจุดที่วางแผนไว้ช้าไปเกือบสามนาที”
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ดวงตาคมเข้มที่ทำให้เธอตกอยู่ในภวังค์นั้นปรากฏขึ้นในความทรงจำของเธออีกครั้ง คราวนี้สิ่งที่เพิ่งรับรู้จากสหัสวรรษทำให้ความรู้สึกเธอดิ่งลึก ราวกับตกลงไปในเหวลึกที่มองไม่เห็นก้น
“บอสกำลังจะบอกว่าที่ตำรวจคนนั้นตาย เพราะแยมเหรอคะ”
“ไม่ใช่หรอกแยม ไม่มีใครอยากให้เป็นแบบนั้นเลยนะ มันไม่ใช่ความผิดคุณ คุณแค่โชคร้ายเท่านั้น”
คำปลอบใจของสหัสวรรษ ใช่! มันเป็นแค่คำปลอบใจ คำปลอบใจที่ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิดเดียว
“ฉัน ฉันเป็นคนทำให้ตำรวจคนนั้นตาย”
“แยม อย่าโทษตัวเองแบบนั้น คุณไม่ได้เป็นคนยิงนะ โจรนั่นต่างหาก”
“ฉันเข้าใจแล้ว” เหมือนมาลีพึมพำกับตัวเอง หูอื้ออึงจนไม่ได้ยินว่าสหัสวรรษพูดอะไร
“ผมจัดการโอนเงินห้าแสนให้คุณแล้ว ยังไง...ช่วงนี้อย่าดูทีวีมากก็แล้วกันนะ โซเชียลก็ตัดทิ้งไปเลย”
เสียงปลายสายเงียบไปแล้ว เหมือนมาลียังถือโทรศัพท์ไว้แบบนั้น ก่อนจะเกิดความรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ
ไม่จริง! เธอไม่เชื่อได้ไหม
เธอไม่ได้เป็นต้นเหตุที่ทำให้ตำรวจคนนั้นตาย
ไม่จริงใช่ไหม
“ยุคนี้เป็นยุคของการแข่งขันของทีวีดิจิทัล ไม่เว้นแม้แต่ช่องข่าว แล้วไม่ต้องถามหาจรรยาบรรณหรอก คนพวกนี้คิดแต่เรื่องกอบโกย แสวงหาแต่ผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น”
ศุภฤกษ์พูดขณะจัดการกับเครื่องบดกาแฟสีดำเมื่อม เขาเป็นหนึ่งในหน่วยลิตเติ้ลไทเกอร์ที่บุกเข้าจับกุมคนร้ายก่อเหตุปล้นธนาคารครั้งนี้ ทุกคนเสียใจกับการจากไปของภควัต แม้จะผ่านมาร่วมสัปดาห์แล้ว แต่หลายคนยังทำใจไม่ได้ แต่ความรู้สึกของเขาคงเทียบไม่ได้กับความรู้สึกของชนกันต์ ผู้กองหนุ่มวัยสามสิบสองปีผู้เป็นเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนนายร้อยกับภควัต ซ้ำยังเป็นคนเจอตัวเหมือนมาลี แต่ไม่รู้ว่าเธอเป็นนักข่าว
ถ้าเขารู้...สาบานได้ว่าจะไม่เสียเวลากับเธอเด็ดขาด ถ้าหากการช่วยเหลือนักข่าวเลวๆ คนหนึ่งจะทำให้เพื่อนของเขาต้องตาย
“พูดแบบนั้นก็ไม่ถูกนะไอ้ฤกษ์ ไม่ใช่นักข่าวทุกคนจะเป็นแบบนั้น เกิดมีคนเหมารวมว่าตำรวจเลวเหมือนกันหมดจะรู้สึกยังไง” นราวุฒิแย้ง ทั้งที่เข้าใจความรู้สึกของเพื่อนดี
“ก็มันโมโห”
“เออ...กูรู้ กูก็โกรธเหมือนกัน แต่พูดไปแล้วมีอะไรดีขึ้นมาวะ” นราวุฒิเป็นนายร้อยตำรวจรุ่นเดียวกันกับศุภฤกษ์ สนิทสนมกับพอที่จะพูดกันตรงๆ ได้ “กาแฟอะ กูขอแก้วนึงนะ”
“อืม” ศุภฤกษ์พยักหน้าแล้วหันมาถามคนที่เอาแต่นั่งเงียบมาสักพักหนึ่งแล้ว “ผู้กองล่ะ เอากาแฟมั้ย”
ชนกันต์ปรายตามองแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ ศุภฤกษ์เห็นดังนั้นก็หันไปมองเพื่อนคล้ายจะขอความเห็น อีกฝ่ายตอบด้วยการยักไหล่แล้วทำปากขมุบขมิบ
“ไม่รู้แล้ว”
“พรุ่งนี้วันเผาผู้กองวัตแล้ว ใจหายว่ะ” ศุภฤกษ์บ่นเบาๆ เพราะรู้ว่าที่ชนกันต์เอาแต่นิ่งเงียบก็เพราะทำใจไม่ได้ที่เพื่อนรักต้องมาตายแบบนั้น
“นั่นสิวะ ลูกชายกำลังน่ารักเลย ไม่ทันได้อยู่รอดูแกเติบโต” นราวุฒิบอกแล้วทอดถอนใจ “พวกเราก็เหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะตายวันไหน ถ้ามีลูก คงขอย้ายไปอยู่หน่วยอื่น”
ศุภฤกษ์พยักหน้าแล้วส่งแก้วกาแฟให้นราวุฒิ พลางลอบมองชนกันต์ที่เอาแต่เงียบจนน่ากลัว เขาอดทนกับความอึดอัดนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว
“ผู้กองจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ เงียบขนาดนี้ เริ่มจะกลัวแล้วนะครับ”
“ฉันไม่มีอะไรพูด”
“ผู้กองยังไม่เลิกโทษตัวเองอีกเหรอครับ ที่ผู้กองวัตตาย ไม่ใช่ความผิดของผู้กองเลย”
ชนกันต์หัวเราะขมขื่น เพราะความโง่เง่าดูไม่ออกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นนักข่าว ทำให้แผนของทีมต้องสะดุดเพราะเขาดันพะวงอยู่กับการช่วยเหลือผู้หญิงที่เข้าใจว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ให้ปลอดภัย
หากเขาไม่สนใจนักข่าวคนนั้น ไม่เสียเวลาสามนาทีเพื่อพาเธอออกจากที่เกิดเหตุจนขึ้นมาสมทบกับคนอื่นช้าภควัตก็คงไม่ต้องตาย เขาคงช่วยเพื่อนเอาไว้ได้
“ผู้กองทำดีที่สุดแล้วละครับ ถ้าเป็นคนอื่น เจอสถานการณ์เดียวกันก็ต้องทำแบบผู้กอง” ศุภฤกษ์กล่าวเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้น
“ช่างมันเถอะหมวด ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” ชนกันต์ปล่อยลมหายใจออกมา ความเครียดบนใบหน้ายังคงเข้มข้น “วันนี้หมวดสองคนไปงานสวดศพก่อนเลยนะ ไม่ต้องรอ”
“แล้วผู้กองไม่ไปเหรอครับ วันนี้สวดวันสุดท้ายแล้ว” ศุภฤกษ์ถามเพราะคิดว่าวันนี้ทุกคนคงต้องไปร่วมฟังสวดคืนสุดท้ายแน่นศาลาอยู่แล้ว
“นั่นสิครับผู้กอง วันนี้คนน่าจะมากันเยอะมาก” นราวุฒิออกความเห็น ปกติชนกันต์มักจะไปช่วยครอบครัวของภควัตต้อนรับแขก คอยดูแลความเรียบร้อย บิดามารดาของภควัตเป็นคนบ้านนอก งกๆ เงิ่นๆ ไม่ค่อยรู้ธรรมเนียม ส่วนภรรยาก็ยุ่งอยู่กับลูกชายวัยสองขวบ
“นักข่าวก็คงจะเยอะด้วย”
ชนกันต์เกลียดนักข่าว เขาเกลียดมาก่อนหน้าจะเจอเรื่องบ้าบอที่เกิดขึ้นเสียอีก
หลายครั้งการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องถูกขัดขวางเพราะนักข่าวที่ใช้คำว่า ‘ทำหน้าที่’ เป็นข้ออ้าง การนำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมาที่ไม่ทำลายแผนการของตำรวจเป็นเรื่องที่นักข่าวต่างหลงลืม
นอกจากนี้นักข่าวบางสำนักยังนำเสนอข่าวอย่างไร้จริยธรรม ทำให้รูปคดีเสียหาย บางครั้งถึงขั้นทำให้คนร้ายหายสาบสูญไปเลยก็มี ร้ายที่สุดก็คือครั้งนี้ที่นักข่าวเข้ามายุ่งจนสูญเสียตำรวจฝีมือดีอย่างภควัตไป
ตัวอย่างมีให้เห็นมานักต่อนัก แต่เป็นบทเรียนที่ถูกลืมเลือน และดูเหมือนไม่ว่ากี่ปีกี่ชาตินักข่าวที่เป็นเสมือนเจ้ากรรมนายเวรก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
นราวุฒิอาจพูดถูก ไม่ใช่นักข่าวทุกคนที่เป็นแบบนั้น แต่ชนกันต์คงไม่ไปแสวงหานักข่าวดีมีจรรยาบรรณให้เสียเวลาหรอก เพราะมันหาไม่ง่ายเลย
“จริงสินะครับ นักข่าวคงไปกันเยอะมาก แต่ว่าคงไม่ใช่นักข่าวคนนั้นแน่นอน เพราะเธอถูกไล่ออกไปแล้ว” นราวุฒิเล่า หลายวันมานี้มีข่าวเหตุการณ์ปล้นธนาคารเผยแพร่ในช่องต่างๆ สังคมโซเชียลก็แชร์กันให้ว่อนโลกออนไลน์อยู่ในขณะนี้ รวมถึงเรื่องการดำเนินคดีกับต้นสังกัดของนักข่าวสาวที่ลักลอบเข้าไปในที่เกิดเหตุวันนั้นด้วย “นักข่าวคนนั้นเป็นคนเดียวกับคนที่เปิดโปงบ่อนการพนันเสี่ยย้ง”
ชนกันต์ไม่ได้ตามประวัติของนักข่าวไร้สามัญสำนึกคนนั้น เพราะแม้แต่หน้าเขาก็ไม่อยากนึกถึง แต่พอฟังคำบอกเล่าของนราวุฒิเขาก็ต้องนิ่วหน้า ไม่คิดว่าคนแบบนั้นคิดจะทำเรื่องดีๆ ได้ ผู้กองหนุ่มทราบเรื่องการเปิดโปงบ่อนการพนันของเสี่ยย้ง เพราะข่าวนี้สะเทือนวงการตำรวจมากเป็นอย่างมาก จนพูดถึงอย่างแพร่หลายว่าแม่สาวเจ้าเก่งกล้าปานประหนึ่งเอารองเท้าตบหน้าตำรวจกลางสี่แยกอย่างไรอย่างนั้น
แม้แต่เขาที่เป็นตำรวจเองยังปฏิเสธไม่ได้ว่าพึงพอใจกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น อย่างน้อยมันก็ทำให้อาชญากรในคราบตำรวจหมดหนทางทำกินจากการรับเงินสินบนไปอีกสักพักใหญ่ แต่พอรู้ว่านักข่าวคนนั้นเป็นคนเดียวกับคนที่โผล่มาในเหตุปล้นธนาคาร ชนกันต์ก็มีอคติอย่างแรง
“ยายนั่นคงจะหิวเงินมาก ถึงได้เสี่ยงตายครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้ได้ข่าวมาขาย”
เห็นใบหน้าหล่อเหลาของผู้กองหนุ่มแสดงความเกลียดชังอย่างชัดเจน นราวุฒิกับศุภฤกษ์ต้องหันมามองหน้ากัน ปกติชนกันต์เป็นคนค่อนข้างควบคุมอารมณ์ได้ดี แต่ดูเหมือนว่านักข่าวสาวรายนั้นจะทำลายความสามารถด้านนี้ของผู้กองหนุ่มไปหมดสิ้น
“ต่อไปก็คงไปทำแบบนี้ที่ไหนไม่ได้แล้วละครับ ไม่รู้ว่าหากไม่เกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ขึ้นมาก่อน เธอจะไปทำความยุ่งยากให้คดีไหนอีกบ้าง” นราวุฒิกล่าวพลางจิบกาแฟรสชาติขมปร่า วิเคราะห์สถานการณ์ “ถูกไล่ออกจากช่อง แล้วก็คงหมดอนาคตนักข่าวไปด้วย ทำเรื่องขนาดนี้คงไม่มีใครรับเธอเข้าทำงานในวงการนี้อีก”
“ถึงจะอย่างนั้นนักข่าวประเภทนี้ก็ยังมีอยู่อีกมาก” ชนกันต์ลุกขึ้นยืน สีหน้ายังมีร่องรอยของความเกลียดชัง “เตรียมใจเอาไว้ได้เลย คดีฆาตกรรมเด็กที่ยังหาตัวคนร้ายไม่ได้นั่น พวกนายก็เห็นว่าเป็นยังไง”
คดีพบเด็กเสียชีวิตปริศนาเป็นคดีโด่งดังมากในช่วงก่อนหน้านี้ แต่นักข่าวนำเสนอข่าวจนเสียรูปคดี และหนทางที่จะปิดคดีนี้ก็ยิ่งยุ่งยากมากขึ้น ข้อมูลผสมปนเปกันจนแยกความจริงไม่ออกแล้ว
“เกลียดแม่งฉิบหาย”
ความคิดเห็น |
---|