
หากจะถามว่าทำไมธมนต์ถึงยังอยู่ที่นี่
ไม่มีความคิดที่จะหนีออกไปจากบ้านพักหลังนี้เลยหรือ
ธมนต์ตอบได้เต็มปากเต็มคำทันทีว่าเธอเคยมีความคิดแบบนั้น แต่บางอย่างมันฉุดรั้งให้เธอยังอยู่ที่นี่
และผลสุดท้ายมันก็จบลงภายในห้องแคบๆ ห้องนี้
เธอไม่อยากหนีปัญหา หรือต่อให้หนีอย่างไร
เธอก็ไม่รู้อยู่ดีว่ากำลังหนีอะไรอยู่ หนีคู่หมั้นหรือหนีพ่อเลี้ยงจิณธนนท์กันแน่
แต่อย่างหลังดูท่าว่าจะมีมูลพอให้เธอคิดจะหนีอยู่มาก เพราะพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ดูแปลกไปมาก
ไม่มีท่าทางเจ้าชู้ไก่แจ้ สายตาแพรวพราวแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวจนรู้สึกได้
แต่สิ่งที่ทำให้เธอยอมทนอยู่ที่บ้านพักเชิงดอยหลังนี้
และมันเป็นเหตุผลสำคัญมากทีเดียว เพราะเธอยังไม่รู้เลยว่าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์คิดจะทำอะไรกันแน่
“มิ้นต์วานคุณป้าช่วยทำอาหารเย็นไว้เลยได้ไหมคะ
เดี๋ยวมิ้นต์จะนำมาอุ่นให้พ่อเลี้ยงทานเอง” ธมนต์ถามป้าแม่ครัวด้วยรอยยิ้ม
ภาพตอนที่พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เทอาหารที่เธอตั้งใจทำทิ้งโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นยังทำให้เธอเสียความรู้สึกอยู่มากยามนึกถึง
“พ่อเลี้ยงจิณไม่ทานอาหารอุ่นค่ะต้องทำเสร็จใหม่ๆ
เท่านั้น”
ป้าแม่ครัวบอกพร้อมกับลงมือทำอาหารต่อเพื่อเตรียมตั้งโต๊ะให้ทันก่อนเวลาแปดนาฬิกา
“ถ้าอย่างนั้น...ก็ไม่เป็นไรค่ะ”
ธมนต์ยิ้มแหยก่อนจะเดินออกมาเตรียมโต๊ะอาหารรอ ก้มหน้าก้มตาจัดโต๊ะ ใบหน้าไม่มีรอยยิ้มเลยสักนิด
เธอไม่อยากจะเห็นหน้าของพ่อเลี้ยงหนุ่ม แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
“ผู้ชายอบอุ่น รอยยิ้มน่ามองเวลาที่อยู่กับหลานสาวหายไปไหนกันนะ
ทำไมเขาถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้” ธมนต์บ่นพึมพำ
เมื่อนึกไปถึงใบหน้าของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ยามอยู่กับหลานสาว
“อาหารใกล้เสร็จรึยัง”
เสียงเข้มดังขึ้นด้านหลัง
“ใกล้เสร็จแล้วค่ะ
พ่อเลี้ยงรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันจะไปเร่งแม่ครัวให้”
ธมนต์พยายามหลบหนีการเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย เดินเลี่ยงออกไปอีกทาง ไม่สบตาหรือมองอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“เดี๋ยว”
เสียงเรียกทำเอาเท้าเล็กหยุดชะงักก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเรียกสติของตัวเองกลับมา
และหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ พร้อมตอบรับด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“พ่อเลี้ยงมีอะไรจะให้ฉันทำอีกเหรอคะ”
ธมนต์ถามอย่างเป็นการเป็นงาน
ชายหนุ่มจ้องมองอีกฝ่ายนิ่งจนน่าอึดอัด
“ไม่สบายหรือเปล่า ทำไมหน้าตาถึงได้ดูซีดเซียวแบบนั้น”
น้ำเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด จ้องมองดวงตาสีรัตติกาลอยู่อย่างนั้น
เป็นธมนต์ที่ต้องหลบสายตาเสียเองก่อนจะส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ
หัวใจเต้นตึกตักจนได้ยินมันชัดเจนในความเงียบ คำถามของเขาพร้อมแววตาแบบนั้นยิ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงเข้าไปอีก
พอเงยหน้าขึ้นมามองอีกรอบแววตาของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ก็ยังไม่เปลี่ยนไป ความเป็นห่วงฉายชัดในดวงตาคู่คมยิ่งทำให้ธมนต์ประหม่าจนเริ่มวางตัวไม่ถูก
“แน่ใจนะ
ถ้าเกิดว่าไม่สบายก็ไปนอนพักซะ ฉันไม่อยากให้มีคนมาตายในบ้านหลังนี้” น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้นก่อนจะเดินหันหลังไป
ธมนต์ขมวดคิ้วอย่างมึนงง
หัวใจที่เคยเต้นแรงกลับมาเต้นจังหวะปกติตามเดิมกับคำพูดแค่ไม่กี่คำของพ่อเลี้ยงหนุ่ม
ราวกับถูกดับฝันหวานเสียอย่างนั้น
อะไรของเขานะ
เดี๋ยวดี...เดี๋ยวร้าย...
ธมนต์เดินเข้าครัวไปบอกแม่ครัวให้เร่งมือก่อนที่จะซวยกันไปหมด
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็พอจะรู้นิสัยใจคอของนายจ้างอยู่พอสมควร เพราะพอได้ยินที่ธมนต์พูดก็เร่งมืออย่างสุดชีวิตจนอาหารเสร็จภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที
ธมนต์ช่วยแม่บ้านยกถาดอาหารเข้ามาเสิร์ฟเพื่อให้พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ได้รับประทานอาหารเร็วขึ้น
“มันไม่ใช่หน้าที่ของเธอ
หน้าที่ของเธอมีเพียงแค่ทำความสะอาดบ้านหลังนี้”
น้ำเสียงเข้มพูดขึ้นพร้อมกับปัดมือหญิงสาวเบาๆ จนถาดอาหารหล่นจากมือ เศษอาหารกระจายทั่วพื้นพร้อมเศษจานที่แตก
หญิงสาวมองพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ด้วยสายตาผิดหวังเป็นครั้งที่สอง
ก่อนจะก้มลงเก็บเศษจานและเศษอาหาร และเดินออกมาหลบมุมระหว่างรอให้พ่อเลี้ยงรับประทานอาหารเสร็จ
“ป้าครับ
ช่วยทำอาหารจานนี้ให้ผมใหม่ด้วย” ชายหนุ่มบอกแม่ครัว ก่อนจะลงมือรับประทานอย่างอื่นรอ
คอยมองไปยังหญิงสาวร่างบางที่ยืนอยู่มุมห้องบ่อยครั้ง มือข้างที่ปัดถาดอาหารออกจากมือของหญิงสาวกำช้อนแน่น
เขาเห็นว่าหญิงสาวดูท่าทางไม่ดีเลยคิดจะให้ไปยืนพักเฉยๆ แต่กลับกลายเป็นว่าคำพูดเขาเผลอทำร้ายจิตใจของเธอไปเสียอย่างนั้น
ธมนต์ยืนก้มหน้าไม่สบตาใคร
อาการน้อยใจพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ปรากฏชัดเจนในความรู้สึก หญิงสาวได้แต่แปลกใจว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้
แต่ก็ไม่กล้าค้นหาคำตอบ เพราะอาการเหล่านี้เธอเคยรู้สึกมาก่อนเมื่อครั้งเริ่มคบหากับพุฒินาท
“เก็บโต๊ะได้” น้ำเสียงเข้มเรียกสติของธมนต์กลับมา
หญิงสาวเดินก้มหน้าก้มตาเข้ามาเก็บจานอาหาร
แต่ก็แอบเหลือบมองร่างสูงโปร่งซึ่งกำลังหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปาก
แต่สายตาของเขากลับมองเธออยู่ตลอดเวลาจนทั้งคู่เผลอสบตากันชั่วครู่
“วันนี้เธอไม่ต้องทำความสะอาดบ้านนะ
ถ้ามีอะไรทำก็ไปทำเถอะ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดขึ้นยามที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะเดินออกมาจากห้องอาหาร
ก่อนจะหันกลับมามองหญิงสาวผ่านกระจกเงาในตู้กระจกตรงหน้า
รอยยิ้มแต้มบนใบหน้าทันทีเมื่อพบใบหน้ามึนงงกับอาการอ้าปากค้างของธมนต์
“วันนี้ฝนต้องตกแน่ๆ
หรือไม่ฟ้าก็คงจะผ่า! ไม่ได้การละ” ธมนต์พูดขึ้นอย่างวิตกเมื่อได้ยินพ่อเลี้ยงจิณธนนท์อนุญาตให้เธอหยุดงานได้หนึ่งวัน
ทั้งที่เมื่อครู่ยังบอกให้เธอทำหน้าที่ของตัวเองอยู่เลย
บ้านพักเชิงดอยหลังนี้ในตอนกลางวันมีเพียงแค่ธมนต์เท่านั้น
ในตอนนี้บรรยากาศโดยรอบจึงเงียบสงบ มีเพียงหญิงสาวที่เดินวนไปวนมาอยู่รอบบ้านจนคล้ายว่าจะเป็นผีบ้านผีเรือนอยู่แล้ว
เธอเดินดูข้าวของจนสามารถจำได้ทุกอย่างว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง แล้วความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในสมอง
แกร๊ก...
ธมนต์เปิดประตูอย่างเบามือ ใบหน้าสวยหันไปมองรอบๆ
อย่างหวาดกลัว
เธอกำลังแอบเข้าห้องนอนของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เพื่อสืบหาเรื่องราวที่มันค้างคาอยู่ในใจของเธอ
ทั้งที่ภายในบ้านมีเพียงแค่เธอแต่มันก็อดกลัวไม่ได้จริงๆ
“อย่าปอดแหกไปหน่อยเลยน่าธมนต์!”
หญิงสาวปลอบใจตัวเองว่าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์คงไม่มีทางรู้ว่าเธอเข้ามาค้นเอกสารของเขาแน่นอน
จึงเริ่มลงมือค้นลิ้นชักโต๊ะทำงานเป็นอันดับแรก ซึ่งเธอเคยเจอเอกสารประวัติของเธอกับคู่หมั้นอยู่ในนั้น
“ไม่มี หายไปไหนนะ”
ดวงตาสีรัตติกาลไหววูบ ก่อนจะเริ่มลงมือค้นไปยังที่ต่างๆ ภายในห้องนอนแต่ก็ไม่พบเอกสารเหล่านั้น
หรือเขาจะรู้แล้วว่ามีคนแอบเข้ามาอ่านเอกสารและค้นห้อง
จึงได้ย้ายเอกสารเหล่านั้นไปไว้ที่อื่น
ธมนต์ทิ้งตัวนั่งลงกลางห้องอย่างหมดหวัง
“ในเมื่อฉันไม่สามารถรู้ความจริงได้ด้วยตัวเอง ฉันก็จะทำให้พ่อเลี้ยงจิณยอมคุยกับพี่พุฒิ
เพื่อเคลียร์ปัญหาให้ได้!” ธมนต์หมายมั่น ดวงตาสีรัตติกาลฉายแววจริงจังขึ้นมาทันที
ใบหน้าของพุฒินาทเคร่งขรึมบ่งบอกอารมณ์ของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี จนลูกน้องที่ติดตามมาด้วยไม่สามารถเข้าหน้าชายหนุ่มติด
ตอนนี้พุฒินาทอยู่ในร้านอาหารของไร่ทางเหนือ
ลูกน้องของเขาซึ่งมีหน้าที่ตามหาตัวธมนต์รายงานมาว่าคู่หมั้นของเขามาพักอยู่ที่ไร่แห่งนี้เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
ชายหนุ่มถามไถ่จากพนักงานและประชาสัมพันธ์ของที่นี่ แต่ก็ไม่มีใครบอกข้อมูลเขาเลยเพราะมันผิดกฎของไร่
ถึงแม้เขาจะเสนอเงินใต้โต๊ะให้ถึงสี่หลัก
ช่างจงรักภักดีเสียจริงๆ
“ทำยังไงก็ได้ไปเอาข้อมูลของมิ้นต์มาให้ฉันให้ได้!”
พุฒินาทประกาศกร้าว ก่อนจะทิ้งตัวนั่งไขว่ห้าง ดับอารมณ์หงุดหงิดของตัวเอง
“แต่นายครับ พะ...พวกผม”
ลูกน้องหวังจะปฏิเสธคำสั่งครั้งนี้
เพราะทุกคนในอำเภอนี้ต่างก็รู้ดีว่าพ่อเลี้ยงเจ้าของไร่ทางเหนือเป็นคนเช่นไร หากใครกล้าลองดีคงจบไม่สวยแน่ๆ
แล้วงานที่เจ้านายสั่งให้ทำก็เป็นงานที่เสี่ยงพอควร
“ฉันสั่งก็ต้องทำ!”
พุฒินาทตะโกนก้อง จ้องตาลูกน้องอย่างเอาเรื่อง
ดูท่าว่าวันนี้เขาจะไม่ได้อะไรเลย
เพียงแค่คิดถึงใบหน้ารูปไข่แสนหวาน ดวงตาสีรัตติกาลที่เขาหวงแหนทำให้หัวใจของพุฒินาทกลับมาเต้นแรงราวกับว่าเขากลับมามีชีวิตอีกครั้งหลังจากรู้ว่าคู่หมั้นสาวกลับมาเมืองไทยแล้ว
ความฝันของเขากับเธอกำลังจะเป็นจริงในไม่ช้า เขาจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่น
มีกันและกันอย่างที่ฝันเอาไว้ แต่กลับกลายเป็นว่าคู่หมั้นของเขาหนีมาเที่ยวเสียอย่างนั้น
แทนที่เธอจะรีบมาพบเขาหลังจากกลับมาเหยียบเมืองไทย
“นายครับ
ผมว่าเราลองไปถามพนักงานในร้านขายของฝากตรงนั้นดีกว่าไหมครับ
เอารูปคุณมิ้นต์ไปให้ดูคงได้ข้อมูลดีๆ กลับมา” ลูกน้องเสนอหนทางให้เจ้านายหนุ่ม ก่อนจะก้มหน้าหลบสายตาที่ตวัดมองมา
“รออะไรอยู่ล่ะ! ไปทำสิ!” พุฒินาทบอกลูกน้อง ก่อนจะเอนตัวไปด้านหลังอย่างเหนื่อยล้าและพักสายตาชั่วครู่
ธนานพซึ่งนั่งดื่มกาแฟอยู่ไม่ไกลนักพยายามควบคุมสีหน้าของตัวเองเอาไว้
ชายหนุ่มค่อนข้างตกใจเพื่อพบว่าศัตรูของเพื่อนมานั่งอยู่ในโซนอาหารของไร่ทางเหนือ แถมยังมาตามหาคู่หมั้นสาวอีกต่างหาก
ไวเท่าความคิด เขายกโทรศัพท์เครื่องหรูทันสมัยของตัวเองขึ้นมาปลดล็อก
ก่อนจะกดเข้าโปรแกรมแชตชื่อดังทันทีเพื่อส่งสารถึงเพื่อนสนิทที่ไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่
Tananop: ข่าวด่วนว่ะ
Tananop: ตอนนี้แกอยู่ไหน ว่างไหม มีเรื่องด่วนมากๆ
ธนานพลอบมองพุฒินาทอย่างระวังตัว เพราะลูกน้องของชายหนุ่มยืนขนาบข้างไม่ห่างแถมยังกวาดสายตามองไปรอบๆ
คล้ายกับว่ากำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
Jintanon: อยู่ที่สำนักงาน มีอะไร ทำไมถึงไม่โทร. มา
ข้อความถูกส่งกลับมาในเวลาไม่นานนัก
ธนานพรีบกดตอบข้อความของเพื่อน
Tananop: พุฒินาทอยู่ที่ไร่ของแก กำลังตามหาตัวคุณมิ้นต์ด้วย ตอนนี้มันกำลังส่งลูกน้องไปสอบถามพนักงานที่ชอปอยู่
แกรีบจัดการก่อนที่พวกมันจะรู้ว่าคุณมิ้นต์อยู่ที่ไหนดีกว่าว่ะ
ธนานพส่งข้อความบอกเพื่อนไปพลางสายตาก็ลอบมองพุฒินาทกับลูกน้องไปด้วย
เป็นการป้องกันว่าพุฒินาทยังคงอยู่ในสายตาของเขาในตอนนี้
Jintanon: มันกล้าเข้ามาเหยียบถึงถิ่นฉันเลยเหรอวะ หรือว่ามันลืมไปแล้วว่ามันเคยทำอะไรไว้ที่นี่
Tananop: จะอะไรก็ช่างมันก่อนเถอะ รีบจัดการซะ เดี๋ยวฉันจะรายงานการเคลื่อนไหวเรื่อยๆ
แกรออ่านข้อความฉันด้วย
ธนานพวางโทรศัพท์มือถือลงกับโต๊ะ และทำท่าราวกับว่านั่งรับสายลมเย็นๆ
ที่พัดผ่านและชื่นชมบรรยากาศของทางไร่อย่างสบายอกสบายใจ
ไม่ได้กำลังเฝ้าระวังและติดตามความเคลื่อนไหวของพุฒินาทแต่อย่างใด
ด้านพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ก็ทิ้งงานตรงหน้าทันทีที่ได้รับข้อมูลจากเพื่อนสนิท
เขาขับรถกอล์ฟตรงไปยังชอปเพื่อสั่งห้ามพนักงานไม่ให้เอ่ยปากเรื่องของธมนต์กับคนแปลกหน้าได้ทันเวลาก่อนที่ลูกน้องของพุฒินาทจะมาถึง
เบญญายิ้มแหยเมื่อพ่อเลี้ยงหนุ่มไม่คิดจะทักทายเธอเลยสักคำ
หญิงสาวนึกแค้นอยู่ในใจแต่ก็ยิ้มรับคำสั่ง ไม่กล้าถามอะไรออกไปได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ
แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นหลังจากพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เดินออกมาจากชอป
ลูกน้องของพุฒินาทก็เดินสวนเข้าไป ชายหนุ่มชะงักปลายเท้า ชายตามองลูกน้องของพุฒินาทก่อนจะยิ้มอย่างเหนือกว่า
คิดจะลองดีกับพ่อเลี้ยงจิณ กล้าเกินไปหน่อยแล้วมั้ง!
เบญญาเดินตามลูกน้องของพุฒินาทออกมาอย่างลับๆ
ทำราวกับว่าตัวเองกำลังจะไปทางนั้นพอดี แปลกใจกว่าเดิมเมื่อพบว่าหลังจากพ่อเลี้ยงเดินออกไปก็มีคนเข้ามาถามถึงธมนต์ทันที
เมื่อได้เวลาเลิกงานพอดีหญิงสาวจึงถือโอกาสเดินตามมาเผื่อว่ามันจะช่วยไขความกระจ่างให้เธอได้
“ว่ายังไงนะ! ไม่มีใครรู้จักเลยอย่างนั้นน่ะเหรอ
แกแน่ใจนะว่ามิ้นต์มาที่นี่น่ะ!” พุฒินาทตวาดลูกน้องเสียงดัง
จนธนานพที่แสร้งอ่านหนังสือพิมพ์แต่แท้จริงแล้วแค่อยากจะปิดหน้าของตัวเองเอาไว้ยกยิ้มพอใจกับผลงานของตัวเองและเพื่อนสนิท
“ใช่ครับ
แต่ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์เลยครับว่าคุณมิ้นต์เธอมาที่นี่จริงๆ
แต่ก็...ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่มีใครเคยเห็นคุณมิ้นต์เลยสักคน” ลูกน้องตอบเสียงอ้อมแอ้ม
แต่ดูท่าว่าคำตอบจะไม่ได้ทำให้พุฒินาทพอใจแต่อย่างใด เพราะชายหนุ่มกัดกรามแน่นจนลูกน้องต้องเงียบปากลง
เบญญายืนหลบมุมฟังอยู่ไม่ไกลนักก็เริ่มเอะใจ
ภายในใจกลับรู้สึกอิจฉาที่ใครต่อใครก็ดูท่าว่าจะตามหาธมนต์กันให้ทั่ว แต่ความคิดหนึ่งก็ผุดเข้ามาก่อนที่หญิงสาวจะแย้มยิ้มอย่างพอใจในความคิดของตัวเอง
“โธ่เว้ย!”
พุฒินาทตะโกนออกมาอย่างไร้หนทาง ก่อนจะยกมือขึ้นกุมขมับ
“ผมว่านายลองบอกคุณเอกภพดูดีกว่าไหมครับ
เพื่อว่าพ่อของคุณมิ้นต์จะจัดการเรื่องนี้ได้” ลูกน้องบอกสิ่งที่คิด
แต่พุฒินาทกลับหันไปมองตาเขียว
“มิ้นต์เขาหนีมาเที่ยวแบบนี้แสดงว่าไม่ต้องการให้ใครรู้ว่ากลับมาแล้ว
แกจะให้ฉันไปบอกคุณพ่อได้ยังไงกัน!”
พุฒินาทตวาดลูกน้องอีกรอบ เขาไม่มีความคิดที่จะเอาเรื่องนี้ไปบอกเอกภพ
บุคคลที่เขานับถือเหมือนพ่อแท้ๆ เลยสักนิดเพราะรู้จักนิสัยของธมนต์ดี
“แต่นายครับ...”
“หม่อนช่วยได้นะคะ”
เบญญาก้าวเดินออกมาจากมุมของโซนอาหารก่อนจะส่งรอยยิ้มสดใสไปให้ชายหนุ่มหน้าตาดีตรงหน้า
‘ทำไมคนรอบตัวของธมนต์ถึงมีแต่คนหน้าตามีและดูท่าว่าจะมีฐานะด้วยนะ’
เบญญานึกในใจ แต่ใบหน้าของเธอก็ยังคงยิ้มสดใสอย่างเสแสร้ง
พุฒินาทชายตามองหญิงสาวในชุดพนักงานของไร่แล้วถามเสียงเข้มอย่างขัดอารมณ์
“เธอเป็นใคร”
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเบญญา เรียกสั้นๆ ว่าหม่อนก็ได้ค่ะ
เราไม่รู้จักกันแต่...ฉันรู้ว่าคนที่คุณกำลังตามหาอยู่ที่ไหน” เบญญาเอ่ยด้วยเสียงที่ดังพอให้ได้ยินเพียงแค่เธอกับพุฒินาท
เพราะกลัวว่าคนอื่นจะเอาเรื่องนี้ไปรายงานพ่อเลี้ยงจิณธนนท์และเธอจะถูกเล่นงานหนัก
อนาคตที่วาดฝันไว้คงพังทลาย
“เธอรู้เหรอว่าฉันกำลังตามหาใคร” พุฒินาทถามอย่างเย้า
พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะในลำคอ
“รู้สิคะ
คุณกำลังตามหาพี่มิ้นต์อยู่และฉันสามารถช่วยคุณได้” เบญญาเรียกหญิงสาวอีกคนอย่างสนิทสนม
“ถ้าใช่คนนี้ก็แสดงว่าฉันเข้าใจถูก” เบญญาหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาเปิดภาพถ่ายของเธอกับธมนต์ให้อีกฝ่ายดู
“บอกมาสิว่ามิ้นต์อยู่ที่ไหน!”
เมื่อเห็นใบหน้าของธมนต์ พุฒินาทก็ถามหาหญิงสาวอย่างร้อนรนทันที
“ฉันบอกให้ได้นะคะแต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน ถ้าคุณยอมรับข้อแลกเปลี่ยนของฉันได้
ฉันจะพาคุณไปส่งถึงที่เลยค่ะ” รอยยิ้มร้ายปรากฏออกมาในรูปของรอยยิ้มสดใส
แต่กระนั้นพุฒินาทก็ยังมองออก
เขาชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบตกลงในที่สุด
เบญญายิ้มรับเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่เธอคิดเอาไว้ รออีกไม่นานธมนต์ก็จะไม่มีที่ยืนในไร่แห่งนี้
ธนานพขมวดคิ้วยุ่งเมื่อพบว่าหญิงสาวที่เพื่อนสนิทของเขากำลังสนใจกลับมายืนพูดคุยอะไรบางอย่างกับพุฒินาท
รอยยิ้มสดใสแต้มใบหน้าหญิงสาวอยู่ตลอดเวลา โดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าทั้งคู่พูดคุยอะไรกัน
ใบหน้าของธมนต์ซีดเผือดเมื่อพบว่าคนที่ส่งเสียงดังโวยวายอยู่หน้าบ้านพักเชิงดอยแถมยังตะโกนเรียกชื่อเธอไม่หยุดคือใคร
หญิงสาวก้าวถอยหลังอัตโนมัติเมื่อพบว่าพุฒินาทส่งยิ้มมาให้พร้อมกับก้าวเดินเข้ามาหา
แถมข้างตัวของชายหนุ่มก็มีลูกน้องยืนคุมอยู่ไม่ห่าง
ธมนต์กวาดสายตามองไปรอบๆ
ก็พบว่าลูกน้องของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ที่เฝ้าบ้านพักเชิงดอยต่างก็นอนสลบอยู่บนพื้นดินหมดแล้ว
“มิ้นต์”
พุฒินาทเรียกชื่อหญิงสาวด้วยรอยยิ้มหวาน หัวใจของเขาพลันเต้นแรงจนน่าประหลาดใจ
ไม่ต่างจากธมนต์เลยสักนิด แต่ในความเหมือนมักมีความต่างอยู่เสมอ
หัวใจของพุฒินาทเต้นแรงเพราะดีใจที่ได้เจอคนรัก
แต่หัวใจของธมนต์กลับเต้นแรงเพราะอาการตื่นตกใจ
เธอยังไม่พร้อมที่จะพูดคุยอะไรกับพุฒินาทตอนนี้ทั้งนั้น
“พะ...พี่พุฒิมาได้ยังไงคะ”
ธมนต์ถามเสียงสั่น หัวใจเต้นแรง ยังคงก้าวถอยหลังมาเรื่อยๆ เมื่อชายหนุ่มยังคงไม่หยุดเดินเข้ามาหา
“ทำไมมิ้นต์กลับมาแล้วไม่บอกพี่คะ
รู้ไหมว่าพี่ตามหาเราไปทั่วเลยนะ แล้วมิ้นต์จะกลับบ้านเมื่อไหร่คะ”
พุฒินาทพูดเสียงหวานก่อนจะหยุดปลายเท้าลง เมื่อรู้ว่ายิ่งก้าวเข้าหา ธมนต์ก็ยิ่งก้าวถอยหลัง
“มิ้นต์ยังอยากพักก่อนค่ะ
พี่พุฒิกลับไปเถอะ มิ้นต์ยังไม่อยากกลับตอนนี้” ธมนต์พูดขึ้นพร้อมกับหยุดเดิน
เธอยังไม่พร้อมที่จะกลับไปกับเขาตอนนี้ เธอต้องทำทุกวิถีทางให้รู้เรื่องที่อยากรู้ให้ได้ก่อน
“มิ้นต์คะ” พุฒินาทพูดเสียงหวานเพื่อหว่านล้อมหญิงสาวคนรัก
แต่ธมนต์กลับส่ายหน้าไปมาเพื่อยืนยันสิ่งที่พูดว่าเธอยังไม่อยากกลับไปตอนนี้
“เห้ย!”
เสียงร้องของลูกน้องพุฒินาทดังขึ้นพร้อมกับการถูกโจมตีจากลูกน้องของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์
พ่อเลี้ยงหนุ่มหน้าบึ้งบอกอารมณ์จนธมนต์เสียวสันหลังวูบ
หญิงสาวมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตื่นตระหนก ลูกน้องของพุฒินาทล้มลงอย่างรวดเร็วในเวลาไม่ถึงสิบนาที
พร้อมกับร่างของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ที่มาหยุดยืนตรงหน้าธมนต์กับพุฒินาทด้วยแววตาหยามเหยียด
ผัวะ!
ใบหน้าของพุฒินาทหันไปตามแรงต่อยของพ่อเลี้ยงหนุ่มแบบไม่ทันตั้งตัว
เมื่อได้สติพุฒินาทก็ยกกำปั้นขึ้นเตรียมต่อยกลับ แต่กลับกลายเป็นว่าธมนต์มายืนบังพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เอาไว้เสียอย่างนั้น
พุฒินาทชะงักมือค้างพลางส่งสายตามีคำถามไปให้หญิงสาวคนรัก
“มิ้นต์ หลบไปค่ะ”
พุฒินาทพูดขึ้นเสียงแข็ง แม้จะรู้สึกชาที่แก้มด้านข้างแต่สีหน้ากลับนิ่งสนิท
ธมนต์ส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบพลางกางแขนทั้งสองข้างออก
คล้ายว่าเธอพร้อมจะปกป้องคนด้านหลังเต็มที่ และเป็นพุฒินาทเองที่ทิ้งหมัดลงข้างตัว
“หลบ!”
ร่างของธมนต์ถูกผลักไปด้านข้างด้วยแรงของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์
ชายหนุ่มไม่ต้องการการปกป้องจากหญิงสาว เพราะเขาไม่ได้กลัวและไม่มีอะไรต้องกลัว คนที่ต้องกลัวคือพุฒินาทต่างหาก
“นายเป็นใคร!
เข้ามายุ่งเรื่องของคนอื่นทำไม” พุฒินาทถามเสียงเข้มอย่างควบคุมอารมณ์
“ผมต้องถามคุณมากกว่า
ว่ากล้าดียังไงถึงได้เข้ามาบ้านพักของผมโดยไม่ได้รับอนุญาต
แถมยังทำร้ายลูกน้องของผมด้วย” น้ำเสียงเย็นๆ ถูกส่งออกมาพร้อมแววตาดุดัน
พุฒินาทขมวดคิ้วอย่างสงสัย ก่อนจะปรายตามองไปยังธมนต์ที่ยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
“คะ...คือว่ามิ้นต์
พอดีว่ามิ้นต์...” ธมนต์ไม่สามารถตอบคำถามที่ส่งผ่านมาทางสีหน้าของพุฒินาทได้
“ตอบพี่มาค่ะ
ทำไมมิ้นต์ถึงมาอยู่ในเขตบ้านพักหลังนี้”
พุฒินาทถามออกมาในที่สุดเมื่อพบอาการอึกอักของหญิงสาวคนรัก
“ไอ้จิณ”
ธนานพเรียกเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงหอบ ตามด้วยลูกน้องอีกสองสามคน
“มาก็ดี
สั่งให้คนมาลากมันออกไปจากบ้านพักหลังนี้!”
พ่อเลี้ยงจิณธนนท์บอกเพื่อนสนิทพร้อมกับฉุดข้อมือของธมนต์เดินเข้าบ้าน
แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเดินแขนเรียวก็ถูกพุฒินาทดึงเอาไว้เสียก่อน
“จะพาคนรักของผมไปไหนครับ”
พุฒินาทถามเสียงเข้ม
“แต่ตอนนี้คนรักของคุณเป็นคนของผม
กรุณาปล่อยมือด้วย พวกแกยืนอยู่ทำไม มาดึงผู้ชายคนนี้ออกไป แล้วอย่าให้เข้ามาในเขตบ้านพักเชิงดอยของฉันได้อีก!”
พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ประกาศลั่น ก่อนจะสาวเท้าดึงแขนของธมนต์ให้เดินตามเข้าไปในบ้าน
“ฉันเจ็บ!”
ธมนต์ตะเบ็งเสียงบอก พร้อมกับสำรวจข้อมือตัวเองที่ถูกบีบแน่นจนขึ้นรอยแดงจางๆ
“จับแค่นี้เจ็บ แล้วทีไอ้หมอนั่นมันทำมากกว่านี้
ทำไมไม่พูดอะไรออกมาสักคำ!”
ธมนต์มึนงงกับคำพูดของอีกฝ่าย
เธอไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร อะไรที่มันมากกว่าการที่เขาบีบรัดข้อมือของเธอ
ตั้งแต่เธอเจอพุฒินาท เขายังไม่ได้แตะต้องตัวเธอเลยสักนิด
“พ่อเลี้ยงพูดอะไรคะ ฉันไม่เข้าใจ” ธมนต์พูดออกไปตามความจริง
แต่มันกลับยิ่งทำให้ชายหนุ่มฉุนเฉียวมากกว่าเดิม เพราะแรงบีบรัดข้อมือที่เพิ่มขึ้นจนหญิงสาวคิดว่ากระดูกของเธออาจจะร้าวได้
คำถามซึ่งไร้คำตอบไม่ได้ทำให้ธมนต์หวาดวิตกเท่าสถานที่ตรงหน้าเลยสักนิด
ตอนนี้เธอถูกลากขึ้นบันไดจนมาถึงห้องนอนของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ อะไรบางอย่างเตือนให้เธอระวังตัวเองไว้
“กลัวเหรอ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ถามเย้าอีกฝ่ายอย่างเหยียดๆ
ธมนต์หน้าซีดเผือด หัวใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้
ยิ่งพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ถามเธอแบบนี้ สิ่งที่เธอคิดไว้มันกำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ
หญิงสาวสะบัดข้อมือด้วยแรงทั้งหมดที่มีหวังให้หลุดจากการเกาะกุมของพ่อเลี้ยง และมันก็ได้ผล
หญิงสาวหันหลังวิ่งหนีทันที
หมับ!
“อ๊าย! ปล่อยฉันนะ ปล่อย!” ธมนต์ตะโกนเสียงดัง
วิ่งไปได้เพียงแค่ไม่กี่ก้าวพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ก็ไหวตัวทัน
คว้าตัวของเธอเอาไว้เสียก่อนพร้อมกับออกแรงรัดรอบเอวบางจนปลายเท้าหญิงสาวลอยหวือ
ตุ้บ!
ร่างบางลอยละลิ่วไปอยู่บนเตียงกว้าง
ธมนต์ตั้งตัวได้ก็ลุกขึ้นพลางจะวิ่งหนีอีกรอบ แต่พ่อเลี้ยงจิณธนนท์กลับล็อกประตูห้องนอนได้ทัน
เขาถอนหายใจหนักก่อนจะสาวเท้าเข้าไปหาร่างบางที่ถอยหนีจนแผ่นหลังบางชิดกับหัวเตียง
“ทีฉันจับนิดจับหน่อยทำมาบ่นมาโอดโอยว่าเจ็บอย่างนั้นเจ็บอย่างนี้
ทีไอ้คู่หมั้นของเธอจับไม่เห็นจะพูดแบบนี้บ้าง โง่หรือไง
เธอไม่รู้เหรอว่าตัวเองกำลังถูกสวมเขาอยู่! ไม่รู้เหรอว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นคนตาบอด
มองความรักเป็นสีชมพูทั้งที่มันเป็นสีดำสนิท!”
พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ปลดปล่อยอารมณ์ออกมาเต็มที่
ชายหนุ่มจับเข้าที่ข้อเท้าของธมนต์แล้วกระชากตัวหญิงสาวเข้ามาหา
ก่อนจะเชยปลายคางของธมนต์ขึ้นพร้อมออกแรงบีบจนนิ้วมือจมเข้าไปในใบหน้าสวย
ดวงตาดุดันจ้องมองดวงตาสีรัตติกาลที่ตื่นกลัวพลางยิ้มมุมปากอย่างสะใจกับท่าทางของหญิงสาว
“พ่อเลี้ยงพูดแบบนี้แสดงว่ายอมรับแล้วว่าฉันคือผู้หญิง
ยอมรับแล้วใช่ไหมว่าคุณกำลังทำบางอย่างกับชีวิตของฉันอยู่”
ธมนต์ถามกลับอย่างไม่เกรงกลัว ดวงตาสีรัตติกาลนิ่งเรียบราวกับผืนน้ำไม่ได้ตื่นกลัวอย่างก่อนหน้านี้
ถึงแม้หัวใจของเธอจะเต้นแรง ความเจ็บที่ข้อมือและใบหน้าจะยังคงชัดเจนในความรู้สึกและลึกๆ
ในใจจะรู้ชัดว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่ธมนต์จะไม่อ่อนแอให้คนตรงหน้าเยาะเย้ยเธอไปมากกว่านี้
“ตอนแรกฉันก็ไม่คิดจะทำแบบนี้หรอกนะ
เธอไม่ได้อยู่ในแผนการตั้งแต่แรก!
แต่โชคชะตาคงอยากให้พวกคนชั่วมันตกนรกเร็วๆ ถึงได้ส่งเธอมาที่นี่ให้ฉันเป็นยมทูตส่งเธอลงนรก”
พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดขึ้นพร้อมกับดันไหล่บางลงจนร่างบางนอนราบลงบนเตียง ก่อนจะขึ้นคร่อมอย่างรวดเร็ว
แขนเรียวทั้งสองข้างของหญิงสาวถูกดันขึ้นเหนือศีรษะด้วยมือข้างเดียว
ธมนต์พยายามขืนตัว แต่ก็ไม่สามารถสู้แรงของพ่อเลี้ยงหนุ่มได้
“อย่าทำฉันเลยนะคะ พ่อเลี้ยงก็รู้ว่าฉันไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
ธมนต์พูดหว่านล้อมอีกฝ่าย หยุดอาการดิ้นรนขัดขืน เพราะมันอาจทำให้เธอแย่ลงกว่าตอนนี้
พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เกือบจะหยุดการกระทำเสียแล้วหากไม่มีคำพูดของเบญญาตอนที่วิ่งมาบอกเขาว่า
ธมนต์แอบพาคนรักมาที่บ้านพักเชิงดอยเพื่อทวนความสัมพันธ์ครั้งเก่า
แต่ตอนนี้ความรู้สึกของเขามันบอกเพียงแค่ว่า หญิงสาวต้องอยู่กับเขาเท่านั้น
เขาจะทำให้ธมนต์เป็นคนของเขาอย่างที่บอกพุฒินาทไปให้ได้
“ขอโทษด้วยนะ แต่ฉันเดินหมากไปแล้ว”
เสียงเข้มดังขึ้นข้างใบหูของธมนต์
หัวใจของธมนต์เต้นแรงจนได้ยินเสียงดังชัดเจน แต่คำพูดของพ่อเลี้ยงกลับดังชัดในห้วงความคิดของเธอมากกว่า
ชายหนุ่มก้มลงจูบซับลำคอระหงขาวผ่องจนขึ้นรอยแดงจางๆ
ก่อนจะเลื่อนขึ้นมาประกบจูบเรียวปากอิ่มที่เม้มแน่นจนเขาไม่สามารถสอดลิ้นร้อนเข้าไปได้
จึงต้องใช้มือข้างที่ว่างบีบเข้าที่แก้มนวลเพื่อให้หญิงสาวเปิดปากออกให้เขาได้เข้าไปช่วงชิงความหอมหวาน
“อื้อ” ธมนต์ส่ายหน้าไปมา เมื่อปล่อยให้ลิ้นร้อนจัดเข้ามาสำรวจโพรงปากของตัวเองได้
หยาดน้ำคลอหน่วยตาทั้งสองข้างที่แดงช้ำ เธอไม่ต้องการแบบนี้
“หยุดดิ้น ยิ่งดิ้นเธอก็ยิ่งเจ็บ”
พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ปรามร่างบางที่เอาแต่ดิ้นไปมาเสียงเบาแต่ก็ไม่ได้ผ่อนแรงของตัวเองลง
ธมนต์มองใบหน้าของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์อย่างผิดหวัง
ชายหนุ่มคนที่เธอรู้สึกดีด้วยกำลังทำร้ายจิตใจของเธอจนแหลกไม่เป็นชิ้นดี
ทำให้เธอไม่เหลือแม้แต่ศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิง
ร่างบางหยุดดิ้นตามคำพูดของพ่อเลี้ยง นอนนิ่งๆ คล้ายกับร่างที่ไร้ชีวิต
พ่อเลี้ยงจิณธนนท์อยากหยุดการกระทำของตัวเอง
เมื่อพบว่าหญิงสาวหยุดดิ้นและนอนนิ่ง ใบหน้าเปื้อนไปด้วยน้ำตา
หัวใจของเขาก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน
แต่ถึงอย่างนั้นบทรักก็ยังดำเนินต่อ
พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ช่วงชิงความหอมหวานไปทั่วทั้งร่างของธมนต์จนเกิดรอยแดงไปตามผิวเนื้อขาวนวลที่ปลายลิ้นปัดผ่าน
เสื้อผ้าถูกถอดออกไปตอนไหนก็ไม่รู้ได้
ตอนนี้ดวงตาสีรัตติกาลมีหยาดน้ำตาบดบังจนมองภาพตรงหน้าไม่ชัด
เธอเพิ่งรู้ว่าการมีอะไรด้วยความไม่เต็มใจ
มันเจ็บปวดอย่างไร เธอเพิ่งรู้ว่าผู้หญิงที่ถูกข่มขืนมันเป็นอย่างไร...
“อ๊ะ” ธมนต์เผลอส่งเสียงร้องออกมาหลังจากปิดปากเงียบมาตั้งแต่เริ่มบทรัก
เมื่อความเป็นชายของชายหนุ่มถูกสอดใส่เข้ามาในร่างกายของเธอ
ใบหน้าของธมนต์แสดงความเจ็บปวด มือเล็กกำผ้าปูเตียงแน่น เลือดสีแดงสดไหลซึมตรงหว่างขา
แม้ว่าชายหนุ่มจะตกใจอยู่บ้างที่เห็นอย่างนั้น แต่ตอนนี้เขาก็ไม่สามารถหยุดอารมณ์วาบหวามที่เกิดขึ้นได้เลย
บทรักยังคงดำเนินต่อไปช่วงเวลาหนึ่งแต่ก็ยังไม่ทันถึงห้วงสวรรค์ พ่อเลี้ยงก็หยุดการกระทำ
ก่อนจะเดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวและเดินออกไปจากห้อง
ธมนต์ไม่มีแม้แต่แรงจะลุกขึ้นนั่ง ได้แต่นอนฟังเสียงปิดประตูห้อง
ก่อนที่หญิงสาวจะร้องไห้ออกมาเสียงดังราวกับแทบขาดใจ
ชายหนุ่มยังคงยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนได้ยินเสียงร้องไห้ของธมนต์ที่ดังขึ้นชัดเจน
เขาได้แต่กำมือแน่น แผ่นหลังกว้างพิงบานประตู
“ผมขอโทษ...ขอโทษ” เสียงแหบพูดขึ้นแผ่วเบา
เขาเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน ยิ่งเห็นว่าธมนต์กลั้นเสียงร้องของตัวเองมากแค่ไหน
เขาก็ยิ่งรู้สึกแย่จนไม่สามารถทำมันต่อได้ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว
สามชั่วโมงต่อจากนั้น
ธมนต์พยุงร่างกายอันบอบช้ำออกมาจากห้องนอนของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์
ดวงตาที่แดงช้ำกวาดหาร่างสูง แต่กลับมองเห็นถุงยาซึ่งแขวนอยู่ที่กลอนประตูห้องด้านหน้าแทน
หญิงสาวชั่งใจอยู่นานก่อนจะยื่นมือสั่นเทาไปหยิบกระดาษโพสต์อิตที่ติดอยู่ด้านหน้าถุงยา
เขียนบอกวิธีการใช้ยาตัวนี้
“ยาคุมฉุกเฉิน” นึกสมเพชตัวเองไม่น้อย
เธอไม่แม้แต่จะฉุกคิดเรื่องนี้เลย แต่คนต้นเรื่องกลับจัดเตรียมเอาไว้ให้เสร็จสรรพ
ธมนต์กำเม็ดยาสีขาวเล็กๆ ไว้ในมือแน่น
“ในเมื่อคุณทำร้ายจิตใจฉันได้ขนาดนี้
ฉันก็ไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของคุณ!” ธมนต์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด
ก่อนจะปาเม็ดยาทิ้งลงพื้น
เธอจะอ่อนแอไปมากกว่านี้ไม่ได้
จะทำตัวให้คนอื่นมาสมเพชไม่ได้เด็ดขาด...
ความคิดเห็น |
---|