
๑
ปีพุทธศักราช ๒๔๘๓
เครื่องบินโจมตีวอจ์ต คอร์แซร์ และเครื่องบินขับไล่เคอร์ติส ฮอว์ก บินสกัดเครื่องบินรบต่างสัญชาติจำนวนสี่ลำที่รุกล้ำเข้ามาเหนือน่านฟ้าไทย แม้จะผลัดกันบินรุกและรับอยู่หลายนาที แต่กระนั้นเมื่อใกล้ถึงจุดที่ต้องปะทะฝ่ายผู้บุกรุกกลับร่นหนีข้ามไปน่านฟ้าของประเทศเพื่อนบ้าน สองนักบินทัพอากาศไทยบินลาดตระเวนต่อจนมั่นใจว่าเจ้าโมราน ซอนเยร์สี่ลำที่ร่นถอยจะไม่กลับเข้ามาในเขตน่านฟ้าของไทยอีกจึงนำเครื่องลงจอด
“ป่วนอีกตามเคย” ชายหนุ่มที่ลงมาจากเครื่องบินขับไล่เอ่ยกับคนที่เพิ่งลงมาจากเครื่องบินโจมตี
“ป่วนเพราะคิดว่าเราจะประมาท” ชายหนุ่มรูปร่างกำยำทว่าปราดเปรียวตอบขณะวางฝ่ามือลงบนส่วนปีกของวอจ์ต คอร์แซร์ แล้วลูบไล้แผ่วเบาประหนึ่งกำลังสัมผัสเด็กชายตัวน้อยๆ ถ่ายทอดความไว้เนื้อเชื่อใจผ่านฝ่ามือ ผสานเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับอากาศยาน
“แต่พวกมันคิดผิด เพราะพวกเราไม่ได้ถูกฝึกมาให้ประมาท”
“เมื่อถึงเวลาพวกมันจะได้เห็นแสนยานุภาพของทัพอากาศไทย” เรืออากาศเอกอนิลบถ วงศ์คคนานต์ หรือเวหาแตะไหล่เรืออากาศเอกมนตรี เพื่อนนักบินร่วมรุ่นและร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตั้งแต่เรียนจบจากนั้นจึงพากันเข้าไปประชุมร่วมกับคณะรอท่าอยู่
เสียงเจ้านกยักษ์ที่ดังกระหึ่มอยู่บนฟากฟ้า พาให้เจ้าของเรือนร่างบอบบางที่ทอดตัวนอนบนสนามหญ้า ยกหนังสือนวนิยายเล่มโปรดขึ้นจากดวงหน้าแล้วแหงนขึ้นมอง นัยน์ตาหวานเปล่งประกาย มุมปากบางยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มพิมพ์ใจ พลางดันตัวขึ้นนั่ง ยกมือขึ้นโบกทักทาย ยิ่งเจ้านกยักษ์เคลื่อนที่ห่างไปไกลเพียงใดเธอก็ยิ่งชูแขนสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งบนท้องฟ้าหลงเหลือเพียงกลุ่มเมฆสีขาว เสียงกึกก้องก่อนหน้าหลงเหลือเพียงเสียงนกร้องจึงลดแขนลง รอยยิ้มหวานค่อยๆเลือนหาย หญิงสาวเม้มปากแล้วถอนหายใจ
“โบกมือให้พี่หรือคะ”
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง หันกลับไปมองตามเสียงเรียก แล้วคลี่ยิ้มสดใส หญิงสาวเอื้อมมือไปจัดระเบียบชายกระโปรงทรงสุ่มสีเหลืองที่แผ่กระจายเต็มเสื่อก่อนจะตบมือลงบนเสื่อเชื้อเชิญให้คนที่เดินเข้ามาหานั่งลง
“อ่านอะไรอยู่คะ” เจ้าของเสียงทุ้มถามหลังจากที่ย่อตัวลงนั่งบนเสื่อเรียบร้อยแล้ว
หญิงสาวหันไปหยิบหนังสือนวนิยายขึ้นมาเอียงให้คนถามได้เห็นหน้าปก ก่อนจะวางลง หยิบสมุดขึ้นมาวางบนตัก จดปลายดินสอลงบนนั้นเพียงชั่วลมหายใจเข้าออก แล้วจึงยกสมุดหน้าที่เขียนขึ้น
“พี่เวหา มาถึงนานหรือยังคะ” อนิลบถอ่านคำที่ปรากฎบนหน้ากระดาษก่อนตอบ “มาถึงเมื่อเช้าค่ะ”
หญิงสาวนามปักษายิ้มกว้างจนเห็นไรฟันก่อนจะลดสมุดลงเพื่อเขียนบางสิ่งเพิ่มเข้าไป ‘คุณลุงกับคุณป้าไปวัด นภาไปซื้อของกับเพื่อน’
“แปลกจริง วันนี้ยายนภาไม่ยักบังคับให้เราไปด้วย” ชายหนุ่มถามกลั้วขำ ด้วยปกติอัปสรนภาน้องสาวเพียงคนเดียวของเขามักจะขอร้องแกมบังคับให้หญิงสาวตรงหน้าไปไหนมาไหนด้วยเสมอ
‘ปักษาเพิ่งสร่างไข้ค่ะ’
อนิลบถอ่านสิ่งที่หญิงสาวเขียนแล้วขมวดคิ้ว ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้อีกนิด เพื่อวางหลังมือลงบนหน้าผากเนียน ถึงแม้ว่าหญิงสาวตรงหน้าจะไม่ใช่พี่น้องร่วมอุทร แต่เขาก็รักและเอ็นดูเธอประดุจสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว
“ตัวยังรุมๆ ยังปวดหัว เวียนหัวอยู่หรือเปล่า”
หญิงสาวส่ายหน้าพร้อมยิ้ม ไม่ว่าจะผ่านไปสักกี่ปี เขาก็ยังเมตตาเธอเสมอ เคยใจดีกับเด็กหญิงศกุนตลาเช่นไรสิบห้าปีผ่านไปก็ยังคงเป็นเช่นนั้น
อนิลบถยีกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มก่อนถามต่อ “อย่าบอกนะว่าออกไปนอนที่ระเบียงอีกแล้ว”
ศกุนตลายิ้มจนตาหยี ก่อนจะก้มหน้าลงเพื่อเขียนคำตอบลงบนสมุด ‘พี่เวหาเก่งจังเลยค่ะ’
คนถูกชมว่า ‘เก่ง’ หรี่ตามองคนหยอดคำหวานกลบเกลื่อนความผิด แล้วส่ายหน้าน้อยๆ ที่เขาเดาถูกใช่ว่าเก่งกาจสมคำป้อยอ แต่เป็นเพราะปีแรกที่เธอย้ายเข้ามาอยู่ร่วมชายคา บิดาและมารดาของเขาต้องพาเธอเข้ารับการรักษาสัปดาห์เว้นสัปดาห์จนทุกคนในบ้านเริ่มเป็นกังวล เดชะบุญที่คืนหนึ่งอัปสรนภาที่หอบหมอนหอบผ้าห่มเข้าไปนอนกับศกุนตลา วิ่งมาเคาะประตูห้องเขาในยามดึก เพื่อเรียกให้ไปช่วยอุ้มเพื่อนสนิทเข้ามานอนในห้อง เขายังจำภาพเด็กหญิงวัยเพียงเจ็ดขวบนอนหลับลึกอยู่กลางสายฝนได้ขึ้นใจ ร่างเล็กเย็นเฉียบและสั่นเทาแต่กระนั้นก็ยังคงลมหายใจสม่ำเสมอ เปลือกตาปิดสนิท กว่าเธอจะตื่นจากนิทรารมณ์อัปสรนภาก็ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เรียบร้อยแล้ว
“เคยสัญญาอะไรกับพี่ไว้จำได้หรือเปล่า หืม” อนิลบถเลิกคิ้วขึ้นก่อนถาม
ศกุนตลาเม้มปาก เอนตัวลงซบลาดไหล่กว้าง ในขณะที่จดปลายดินสอลงบนหน้ากระดาษไปด้วย เมื่อเขียนเสร็จแล้วจึงช้อนตาขึ้นมองใบหน้าคมเข้มของเจ้าของไหล่
‘ปักษาไม่ได้ลืมสัญญานะคะ แต่คืนนั้นพระจันทร์สวยมาก สวยจนปักษามองเพลิน รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็เปียกไปหมดแล้ว’
อนิลบถหลุบตาอ่านคำแก้ตัวน่าเอ็นดูแล้วก็ได้แต่บังคับตัวเองไม่ให้ยิ้ม คนที่จำต้องแสร้งตีบทขรึมเลิกคิ้วพร้อมกับยกไหล่ขึ้นโดยไม่เอ่ยสิ่งใด รังให้คนหลับลึกกระวีกระวาดอธิบายต่อ
‘ความจริงปักษาอาจจะป่วยหนักกว่านี้ หากไม่สะดุ้งตื่นเพราะฝันว่าพี่เวหาเรียก ขอบคุณนะคะที่เข้าไปปลุกปักษาถึงในฝัน’
“หึ” อนิลบถหลุดเสียงหัวเราะอย่างสุดจะกลั้น เห็นดังนั้นคนมีความผิดติดตัวจึงเป่าลมออกปากด้วยความโล่งอก ศกุนตลากระพุ่มมือวางลงบนหน้าอกแกร่งก่อนจะลดใบหน้ารูปไข่ลงแนบปลายนิ้ว
“ไม่ต้องขอโทษ ไม่ใช่ความผิดของปักษา แต่ที่พี่ต้องว่าก็เพราะห่วง” ชายหนุ่มว่าพร้อมกับลูบกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มไปพลางๆ
ศกุนตลาเอียงดวงหน้าพริ้มเพราขึ้นส่งยิ้มหวาน ถึงแม้นเหตุการณ์เลวร้ายในอดีตจะส่งผลให้บางสิ่งในตัวเธอผิดแผกและแตกต่าง แต่สิ่งนั้นก็หาได้บั่นทอนความสุขของเธอให้ลดน้อยลงไม่ สิ่งสำคัญที่ถูกพรากไปไม่อาจมีสิ่งใดทดแทน แต่กระนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยังเมตตาส่งครอบครัวใหญ่ที่รักและเมตตาเธอมาชดเชย
‘พี่เวหากินอะไรมาหรือยังคะ’
อนิลบถหลุบตามองตัวอักษรใหม่บนหน้ากระดาษ ส่ายหน้าช้าๆก่อนตอบ “ยังค่ะ”
ศกุนตลาเอียงหน้าสบตาคนที่เธอเคารพเสมือนพี่ชายแล้วเบิกตากว้าง อนิลบถเลิกคิ้วพร้อมยกมุมปากขึ้นคล้ายอมยิ้ม หญิงสาวจดปลายดินสอลงบนหน้ากระดาษอีกรอบก่อนจะดันตัวลุกขึ้นเสื่อ ใช้สองมือยกชายกระโปรงทรงสุ่มขึ้น แล้ววิ่งบนปลายเท้ากลับเข้าไปในบ้าน
‘พี่เวหารอสักครู่นะคะ’
อนิลบถหลุบตามองตัวอักษรบนหน้ากระดาษที่ถูกวางทิ้งไว้แล้วส่ายหน้าพร้อมยิ้ม นึกภาพความวุ่นวายในครัวออกโดยไม่ต้องตามเข้าไปดู ชายหนุ่มเอนตัวลงนอนราบ ยกแขนขึ้นก่ายหน้าผากแล้วหลับตาลง
โอ้รักเอ๋ย รักชื่น ชื่นฉะนี้นา
สมใจเอยที่ได้เชยชม
สนิทสนมไม่รู้โรยรา
นี่คือใจสนองใจ
จึงได้ทำให้เบิกบานวิญญาณ์
หมับ !
“ตาเถร!”
คนที่วิ่งบนปลายเท้าเข้ามาในห้องครัวหัวเราะร่วนโดยสองมือยังจี้อยู่ที่สะเอวอวบของคนยืนฮัมเพลงพร้อมกับเช็ดจานไปพลางๆ
“โธ่ ... คุณปักษา” ผ่องผ่อนลมหายใจ ตวัดค้อนผู้เป็นนายแต่พองาม ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างสุดจะกลั้น “นึกว่าเจอดีตอนกลางวันแสกๆเสียแล้ว”
“คุณปักษาหิวหรือยังคะ” หญิงสูงวัยที่นั่งเด็ดผักอยู่กลางห้องครัวเอ่ยถาม ความจริงเธอเห็นหญิงสาววิ่งเข้ามาตั้งแต่แรก แต่ไม่ได้ร้องบอกแม่คนอารมณ์สุนทรีย์ให้รู้ตัว หรือจะนับว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับคนช่างแกล้งก็ไม่ผิด
ศกุนตลาเดินไปยังมุมหนึ่งของห้องครัวเพื่อหยิบดินสอกับสมุดแล้วเดินเข้าไปหาคนถาม ก้มเขียนสิ่งที่ต้องการสื่อสารบนหน้ากระดาษ แล้วจึงเงยหน้าขึ้น
‘พี่เวหากลับมาแล้วค่ะป้าจวน’
“ตายจริง กินข้าวกินปลามาหรือยังคะ” จวน แม่บ้านที่ดูแลครอบครัวนี้มานานถามกลับทันควัน
‘ยังค่ะ พี่เวหาอยากกลับมากินฝีมือป้าจวน’ คนช่างจำนรรจาชะอ้อนผ่านตัวอักษร
“โถ พ่อคุณ” จวนยิ้มพราย ก่อนจะหันไปสั่งหลานสาวที่ยังยืนเช็ดจานอยู่อีกมุม “เอ็งยกขนมนมเนยไปให้คุณเวหารองท้องก่อนไป๊”
“จ้ะป้า” ผ่องขานรับ
ศกุนตลาจึงจดปลายดินสออีกรอบ แล้วลุกขึ้นเดินไปหาผ่อง
‘พี่เวหาอยู่ในสวนข้างบ้านนะคะ’
“ค่ะ” ผ่องพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินไปตระเตรียมของว่างอีกมุม ศกุนตลาชะเง้อคอมอง ลุ้นว่าผ่องจะเปิดขนมโถใด และเมื่อหญิงสาวหยิบโถขนมสัมปันนีที่เธออบควันเทียนเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนขึ้นมาเปิด จึงเป่าลมออกปาก จากนั้นเดินยิ้มหวานไปช่วยจวนเตรียมสำรับอีกแรง
จวนมองใบหน้าแต้มยิ้มของหญิงสาวแล้วก็ได้แต่อมยิ้มด้วยความเอ็นดู หลายเดือนที่ผ่านมาศกุนตลามักจะทำขนมใส่โถแก้วเตรียมไว้เช่นนี้เสมอ ถึงแม้จะชะอ้อนบอกว่าเตรียมไว้สำหรับทุกคนในบ้าน หากแต่ขนมที่เลือกทำล้วนแล้วแต่เป็นจานโปรดของคนที่ออกไปปฏิบัติภารกิจเพื่อชาติ
“รับของว่างรองท้องก่อนนะคะคุณเวหา” ผ่องยอบตัวลงนั่ง วางถาดของว่างลงบนเสื่อแล้วจึงเอ่ยกับผู้เป็นนาย
อนิลบถดันตัวขึ้นนั่ง ยกแก้วใส่น้ำใบเตยลอยดอกมะลิขึ้นจิบ ก่อนจะหยิบขนมสัมปันนีขึ้นมาพิศใกล้ๆ สูดกลิ่นกำจายของควันเทียนหอมเข้าปอด ละเลียดชิมขนมรสละมุนลิ้นแล้วยกมุมปากขึ้น “ฝีมือคุณแม่ไม่เคยตก”
ผ่องระบายยิ้มบางๆก่อนจะแก้ความเข้าใจของผู้เป็นนาย “รสมือเหมือนคุณหญิงท่านเลยหรือคะ”
“หืม ...” คนเข้าใจผิดขมวดหัวคิ้ว กัดขนมสีหวานที่ยังถืออยู่ในมืออีกครั้งแล้วจึงว่าต่อ “ปักษาทำงั้นรึ”
ผ่องพยักหน้ารับน้อยๆ “ค่ะ ตั้งแต่คุณท่านบอกว่าคุณเวหาใกล้จะได้กลับบ้านแล้ว คุณปักษาก็ลงครัวทำขนมใส่โถเตรียมไว้ไม่ได้ขาด ถึงเธอจะบอกว่าทำไว้ให้ทุกคน แต่คุณนภาเธอรู้ทันเย้าบ่อยครั้งว่ามีแต่เมนูโปรดของคุณเวหา”
เจ้าของเมนูโปรดระบายยิ้มอ่อนโยน หยิบขนมสัมปันนีชิ้นพอดีคำขึ้นมาแตะจมูก ส่งเข้าปากแล้วหลับตาพริ้มเพื่อซึมซับความละมุนผ่านปลายลิ้นสัมผัส เมื่อเห็นดังนั้นผ่องจึงค่อยๆลุกขึ้นแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน จวบจนสำรับคาวหวานจัดเรียงบนโต๊ะรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว จึงออกมาแจ้งแก่ผู้เป็นนาย
...
ภายในห้องรับประทานอาหาร ศกุนตลากำลังสำรวจความเรียบร้อยโดยมีจวนยืนอยู่ข้างๆ ดวงหน้างามเอียงซ้ายขวาพินิจจานสำรับอย่างถี่ถ้วน เอื้อมมือออกไปขยับจาน ช้อน ส้อม ให้ได้องศากับแจกันดอกไม้ที่เธอเพิ่งจัดเสร็จแล้วจึงถอยออกมา กวาดสายตาสำรวจความรียบร้อยโดยรวมอีกรอบแล้วคลี่ยิ้มกว้าง
คนมาใหม่ยืนกอดอกพิงประตูห้องรับประทานอาหาร รอจนกระทั่งมั่นใจว่าคนละเอียดละออด้านในเตรียมการเรียบร้อยแล้วจึงสาวเท้าเข้าไปยืนข้างๆ
ศกุนตลาหันมาส่งยิ้มหวานให้คนข้างกาย กุลีกุจอขยับเก้าอี้เชื้อเชิญให้นั่ง อนิลบถยกมุมปากพร้อมกับวางมือลงบนศีรษะน้อยแล้วโยกอย่างไม่แรงนัก
“ปักษานั่นแหละนั่งลง” ชายหนุ่มว่าพลางขยับเก้าอี้ตัวข้างๆ กดสองบ่าบอบบางให้นั่งลง ผ่องเห็นดังนั้นจึงรีบไปเตรียมจานข้าวเพิ่มอีกชุด
“ใจคอปักษาจะให้พี่นั่งกินข้าวคนเดียวหรือไร”
ปักษาตอบรับประโยคดังกล่าวด้วยรอยยิ้มหวาน ก่อนจะเอนตัวเอียงหน้าซบลงบนต้นแขนแกร่งแล้วถูไถไปมา
จวนมองภาพตรงหน้าแล้วระบายยิ้ม รอจนผ่องนำจาน ช้อน ส้อมมาวางเรียบร้อยแล้วจึงตักข้าวใส่จาน
“ขอบคุณครับป้า ข้าวสีสวยเทียว”
“ข้าวหุงใบเตยค่ะ มื้อนี้คุณปักษาเธอหุงเองนะคะ”
“ขอบคุณนะคะ” อนิลบถหันมาเอ่ยกับหญิงสาวข้างกาย ศกุนตลารู้ว่าเขาชื่นชอบขนม อาหาร ตลอดจนเสื้อผ้าที่มี ‘กลิ่นหอม’ ดังนั้นเธอจึงพิถีพิถันเป็นพิเศษ
ศกุนตลายิ้มรับ แล้วประนมมือไหว้เมื่อชายหนุ่มตักผัดผักมาวางบนจานข้าวของเธอ สองหนุ่มสาวใช้เวลาในการรับประทานอาหารค่อนข้างนานเป็นพิเศษ ด้วยมีเรื่องราวมากมายมาเล่าสู่กันฟัง ถึงแม้วิธีการสื่อสารจะมีข้อจำกัด แต่เขากลับมีความสุขกับทุกตัวอักษรที่เธอถ่ายทอดผ่านปลายดินสอ อนิลบถหลุดเสียงหัวเราะบ่อยครั้ง ยอมรับว่าการอ่านเรื่องเล่าผ่านหน้ากระดาษกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตลอดสิบห้าปีที่ผ่านมา
* เพลง ใจสนองใจ จากภาพยนต์เรื่อง กลัวเมีย ปีพุทธศักราช ๒๔๗๙
ความคิดเห็น |
---|