
๔
“ไม่เมื่อยหรือไร ยิ้มตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านมาจนถึงปั้มน้ำมัน” อนิลบถเอ่ยถามตุ๊กตาหน้ารถที่ยิ้มกว้างจนเห็นไรฟันมาตั้งแต่ออกจากบ้าน ขณะแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มน้ำมันเปโทร หรือเรียกกันติดปากว่าปั๊มน้ำมันม้าบิน
“นภาฝันถึงเป็ดย่างทั้งคืนเลยค่ะ” อัปสรนภาตอบก่อนจะเอี้ยวตัวกลับไปมองคนเบาะหลังที่กำลังประนมมือไหว้
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว ที่มีขอบกำแพงติดกับปั้มน้ำมัน
“ดูปักษาสิคะ นอกจากหน้าตาจะหมดจดแล้วกิริยามารยาทก็ยังงามงดอีกต่างหาก” คนช่างพูดยืดตัวไปกระซิบข้างหูพี่ชาย อนิลบถเหลือบตามองความงามหมดจดผ่านกระจกมองหลังแล้วยกมุมปากขึ้น สิ่งที่อัปสรนภาว่ามานั้นไม่ผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงแม้แต่น้อย ศกุนตลาคือนิยามของคำว่างามจากภายในสู่ภายนอก ทั้งยังเข้มแข็งสมกับเป็นทายาทของนายทหารสายบู๊ผู้ร่วงลับ
“พี่พาเข้าไปกราบข้างในดีไหมคะ”
ศกุนตลาลืมตา ลดสองมือที่ประนมลง ก่อนจะเอี้ยวตัวกลับมานั่งหลังตรง ระบายยิ้มมุมปากพร้อมกับส่ายหน้าช้าๆ
“กลัวคนแถวนี้ทนหิวไม่ไหวรึ” อนิลบถถามต่อ ศกุนตลาเบนสายตามองคนทำแก้มพอง ปากยื่นใส่พี่ชายก่อนจะยกปลายนิ้วมือข้างขวาขึ้นแตะปากแล้วพยักหน้ารับ
อัปสรนภาจึงหันมาค้อนเพื่อนสนิทแล้วยกมือขึ้นกอดอก “ไม่ได้หิวขนาดนั้นหรอกน่า ไปกราบพระก่อนก็ได้”
“พอพี่เคลื่อนรถออกมาก็ตอบได้เทียว” คนเป็นพี่เย้า เพราะเมื่อเขาเคลื่อนรถผ่านประตูวัด คนละเมอถึงเป็ดย่างมาทั้งคืนจึงได้ฤกษ์ตอบ
“อ้าว แล้วกัน นภาลืมดู” อัปสรนภาหัวเราะกลบเกลื่อน ในขณะที่ศกุนตลาขยับมือข้างซ้ายมากุมหน้าท้องแล้วหัวเราะร่วนอยู่บนเบาะหลัง
อนิลบถเหลือบตามองคนเส้นตื้นด้านหลัง ก่อนจะเอียงหน้ามองคนที่กำลังแสดงออกว่ารื่นเริงเกินกว่าเหตุด้านข้างแล้วถอนหายใจ
“ไว้มากันพรุ่งนี้นะคะ” คนเป็นพี่สรุป
“ค่ะ” อัปสรนภาขานตอบ พร้อมๆกับที่ศกุนตลาพยักหน้ารับแรงๆ
ภัตตาคารจีนยอดนิยมในช่วงก่อนเวลาอาหารกลางวัน ไม่จอแจแออัดจริงดังที่อัปสรนภากล่าวอ้างเอาไว้ก่อนหน้า ทั้งสามเลือกนั่งโต๊ะมุมสุดของร้านเพื่อความเป็นส่วนตัว ทว่าเมื่อสั่งอาหารเรียบร้อยแล้วกลับมีคนกลุ่มหนึ่งมุ่งตรงมายังโต๊ะที่ทั้งสามนั่งอยู่
“อุ๊ย ! เวหา บังเอิญเหลือเกินค่ะ”
“...”
อนิลบถ ศกุนตลา และอัปสรนภาเหลียวมองตามเสียง ก่อนที่ทั้งสามจะลุกขึ้นแล้วประนมมือไหว้
“คุณอาสบายดีนะครับ” อนิลบถเอ่ยทักผู้อาวุโสที่เขาเคยพบเจอหลายครั้ง ในขณะที่ศกุนตลาและอัปสรนภาค้อมศีรษะลงเพื่อทำความเคารพผู้สูงวัยกว่าถึงสามคน
“วาดเพิ่งเล่าให้ฟังว่าไปรับของว่างที่บ้านเวหามา เป็นอย่างไรบ้างไม่เจอหน้าค่าตากันเสียนาน” นวลเพ็ญมารดาของตะวันวาดเอ่ยถาม
“ไปอยู่ชายแดนมาร่วมปีครับ เพิ่งกลับมาถึงเมื่อวาน”
“อาวาดบอกอั๊วว่า ลื้อเป็นนักบินที่เก่งที่สุด กองทัพเลยส่งไปทำงานสำคัญ อั๊วอดภูมิใจแทนอานายพลพ่อลื้อไม่ล่าย” เถ้าแก่ฉวน บิดาของตะวันวาดว่า
“ป๊า ...” ตะวันวาดแกล้งทำท่าเอียงอายเมื่อบิดาเปรยเสียหมดเปลือกว่าเธอเล่าเรื่องของเขาให้ครอบครัวฟัง ซึ่งนั่นก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าเธอยกให้เขาเป็น ‘คนพิเศษ’
“เอ่อ ... มีโต๊ะกันหรือยังครับ” อนิลบถเปลี่ยนเรื่อง
“ยังเลยค่ะ พวกเราเพิ่งมาถึง” ตะวันวาดตอบพร้อมยิ้มกว้าง
“หากไม่รังเกียจเชิญคุณอา ...”
“ล่ายๆๆ นั่งด้วยกันก็ดี อาวาดจะได้มีเพื่อนคุย” ก่อนที่อนิลบถจะทันได้เอ่ยประโยคมารยาทจนจบ เถ้าแก่ฉวนก็ตอบแทรกขึ้นมา ดังนั้นบริกรที่ยืนรออำนวยความสะดวกอยู่ไม่ไกลจึงเร่งเข้ามาจัดวางจานชามเพิ่ม
“ไม่เจอกันเสียนานสบายดีนะคะ” ตะวันวาดทักทายอัปสรนภา หลังจากวางแก้วชาจีนที่เพิ่งยกขึ้นจิบลงบนจานรอง
“สบายดีค่ะ” อัปสรนภาตอบ แล้วใช้ตะเกียบคีบแฮกึ๊นทอดไปวางบนจานของศกุนตลา ตะวันวาดเบนสายตามองตามมือของอัปสรนภาแล้วยกมุมปากขึ้น
“ไม่สบายหายดีแล้วหรือคะ เมื่อวานพี่ตั้งใจว่าจะไปช่วยเช็ดตัวให้ แต่ก็คุยกับเวหาเพลินจนเย็นย่ำ”
ศกุนตลาระบายยิ้มบาง วางตะเกียบในมือลง แล้วประนมมือขอบคุณ ก่อนจะหยิบดินสอแล้วตวัดข้อมือลงบนหน้าสมุดเล่มเล็กที่เธอพกมาด้วย
‘ดีขึ้นมากแล้วค่ะขอบคุณคุณวาดที่เป็นห่วงนะคะ’
“ถึงจะดีขึ้นแล้ว แต่คืนนี้ก็ต้องกินยาต่อนะคะ” อนิลบถหันมาเอ่ยกับคนป่วยที่นั่งถัดจากอัปสรนภา
ศกุนตลาพยักหน้ารับพร้อมยิ้ม ตะวันวาดคลี่ยิ้มตาม ถึงแม้จะเป็นยิ้มที่ฝืนทำแต่กระนั้นเธอสามารถตบตาคนทั้งโต๊ะได้เป็นอย่างดี
“เห็นแบบนี้ป๊าก็เบาใจ” เถ้าแก่ฉวนว่า
“...”
อนิลบถ ศกุนตลา และอัปสรนภาขมวดคิ้ว เห็นดังนั้นตะวันวาดจึงหัวเราะแผ่วเบาแล้วรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่บิดามารดาของเธอจะแสดงออกไปมากกว่านี้ ถึงแม้ว่าเธอจะชอบพออนิลบถ และชายหนุ่มเองก็ไม่เคยปฏิเสธข่าวลือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อน แต่กระนั้นเธอก็ยังไม่เบาใจ ในเมื่อเขายังคงขีดเส้นกั้นเธอเอาไว้ไม่ให้เข้าใกล้ได้มากกว่าเพื่อนสมัยเรียน
“ป๊า เป็นห่วงวาดเรื่องคบเพื่อนน่ะค่ะ”
ตะวันวาดว่าก่อนจะคีบซี่โครงหมูน้ำเเดงไปวางบนจานของอนิลบถ เถ้าแก่ฉวน นวลเพ็ญ และตะวันวาดจับจองเป็นเจ้าของบทสนทนาเอาไว้ทั้งโต๊ะ
“เวหาอย่างเพิ่งอิ่มนะคะ เป็ดย่างยังไม่มา”
“...”
“ลองจานนี้หน่อยนะคะ ปลาหิมะนึ่งซอสเต้าเจี้ยว จานโปรดของวาดค่ะ”
“...”
“ส่วนจานนี้หมูสามชั้นหมั่นโถว ของโปรดยายเดือนค่ะ วาดเคยชิมไปคำ รสดีเทียวแต่วาดไม่กล้ากินเยอะเกิน เกรงจะใส่ชุดที่เพิ่งตัดใหม่ไม่ได้ เวหากินแทนวาดทีนะคะ”
“...”
ศกุนตลาก้มหน้ามองอาหารในจานของตัวเอง ใช้ตะเกียบเขี่ยไปมา ขณะรับฟังเสียงหวานของคนช่างจำนรรจา ที่สรรหาเรื่องนั้นหยิบยกเรื่องนี้มาชวนพี่ชายของเธอสนทนา หากจะนับว่าตะวันวาดคือผู้สร้างสีสันบนโต๊ะรับประทานอาหารในมื้อนี้ก็ไม่ผิด
‘เค้าไปห้องน้ำก่อนนะ’
“ไปด้วยสิ” อัปสรนภาว่าหลังจากที่หลุบตาอ่านตัวอักษรบนหน้าสมุด จากนั้นจึงหันไปเอ่ยกับพี่ชาย “นภากับปักษาขอตัวไปห้องน้ำสักครู่นะคะ”
อนิลบถพยักหน้า แล้วยืดตัวมองน้องสาวทั้งสองคนไปจนสุดทาง
“เฮ้อ ...” อัปสรนภาถอนหายใจอย่างไม่เก็บอาการหลังจากประตูห้องน้ำปิดลง จนศกุนตลาอดที่จะหัวเราะกับกิริยานั้นไม่ได้
“เป็นการรอเป็ดย่างที่แกร่วที่สุดเท่าที่เคยรอมา” อัปสรนภาว่า
ศกุนตลาจับมือของอัปสรนภาแล้วบีบอย่างไม่แรงนัก เธอเข้าใจสิ่งที่อัปสรนภาสื่อเป็นอย่างดี ด้วยตัวเธอเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน
“ตัวอึดอัดหรือเปล่า”
ศกุนตลาส่ายหน้าพร้อมยิ้ม เธอไม่ได้ถึงกับอึดอัด เพียงแค่รู้สึกว่าเธออยู่ผิดที่ผิดทาง ไม่เหมาะที่จะอยู่ร่วมโต๊ะในวันนี้ก็เท่านั้นเอง
“ไว้ก่อนพี่เวหาจะกลับไปทำงาน เราค่อยมากันอีกรอบเนอะ”
สองสาวยิ้มให้กัน ก่อนจะหันไปมองประตูห้องน้ำที่เปิดออก
“เข้าห้องน้ำเสร็จหรือยังคะ เป็ดย่างมาแล้วนะ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” อัปสรนภาตอบแล้วจูงมือศกุนตลาหมายจะเดินออกไปจากห้องน้ำ ทว่าตะวันวาดที่กำลังส่องกระจกเอียงหน้าซ้ายขวาแล้วลูบลอนผมไปพลางๆก็ส่งเสียงขึ้นมาอีกรอบ
“ขอบคุณนะคะที่มาเป็นเพื่อนเวหา”
“...”
ศกุนตลากับอัปสรนภาหันมาสบตากันเลิ่กลั่ก ตะวันวาดยิ้มพราย แต้มสีแดงสดลงบนกลีบปากอิ่มก่อนว่าต่อ
“เมื่อวานเวหานัดพี่มากินข้าวที่นี่เป็นการไถ่โทษที่ไม่ได้ไปส่งกลับบ้าน พี่เองก็เกรงว่ามากันสองคนจะไม่งามเลยชวนป๊ากับแม่มาเป็นเพื่อน เวหาเองก็เช่นกัน”
ตะวันวาดหมุนตัวตรวจความเรียบร้อยของตัวเองอีกรอบ ส่งยิ้มกว้างให้สองสาวที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ แล้วจึงเปิดประตูออกจากห้องน้ำไป
ศกุนตลาหน้าซีดเผือด ระหว่างการรับประทานอาหารเช้าวันนี้ หลังจากได้ยินอนิลถบถเอ่ยขออนุญาตพาเธอกับอัปสรนภาออกมารับประทานอาหารจีน เธอก็ตื่นเต้นเสียจนหยิบจับชุดที่จะสวมออกจากบ้านไม่ถูก หัวใจที่เคยพองโตบีบรัดเสียจนอับเฉา แต่กระนั้นก็ยังพยายามฉีกยิ้มให้กับคนที่กำลังขมวดคิ้วพร้อมยกมือขึ้นคลึงขมับ
‘ตัวอย่าเสียใจเลยนะ อย่างไรเสียวันนี้พี่เวหาก็พาเราสองคนออกมาเที่ยวด้วย’
อัปสรนภาหลุบตาอ่านตัวอักษรบนหน้าสมุดแล้วก็ยิ่งขมวดคิ้วเป็นปมมากขึ้นกว่าเดิม หญิงสาวส่ายหน้าพร้อมกับยกมือโบกไปมา “เค้าไม่ได้เสียใจ แต่เค้าแปลกใจ”
‘แปลกใจ ?เรื่องอะไรกัน’
“ก็เรื่องมากินอาหารจีนที่นี่ ...” อัปสรนภาเว้นจังหวะใช้ความคิดชั่วขณะก่อนจะว่าต่อ “เค้าเป็นคนชวนพี่เวหาเอง แล้วทำไมพี่วาดถึง ...”
ศกุนตลาเบิกตากว้างแล้วรีบตวัดข้อมือ ‘จริงหรือ’
“จริงสิ เมื่อคืนเค้าไปนอนเล่นที่ระเบียงห้องนอนของพี่เวหา” อัปสรนภาเท้าความก่อนจะนึกย้อนถึงบทสนทนาระหว่างเธอกับพี่ชายอย่างละเอียด
“พักนานกว่านี้ไม่ได้หรือคะ แค่เดือนเดียวไม่พอกับที่เที่ยวที่นภาอยากไป”
“หึ” เจ้าของเสียงทุ้มหลุดเสียงหัวเราะในลำคอ อนิลบถลืมตาขึ้นแล้วพลิกตัวนอนตะแคงข้าง “ที่พร่ำบอกว่าคิดถึงพี่ เป็นเพราะที่เที่ยวนี่เองสินะ”
“ก็ด้วยค่ะ” อัปสรนภายอมรับไปตามตรง “ถ้าพี่เวหาพาไปอย่างไรเสียคุณพ่อกับคุณแม่ก็ต้องอนุญาต ปักษาเองก็จะไม่อิดออดที่ต้องไปด้วย”
“จะติดปักษาไปถึงเมื่อไหร่ หืม ...” คนเป็นพี่ถามพาดพิงถึงหญิงสาวอีกคนที่เขากำชับให้กินยาแล้วนอนพักตั้งแต่รับประทานมื้อเย็นเสร็จ
“ก็นภาไม่อยากให้ปักษาเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านนี่คะ มีเพื่อนงามหมดจดเสียจนหาที่ติไม่เจอแบบนั้น ก็ต้องพาออกไปอวดโฉมเสียหน่อย”
“แก่แดดแก่ลมเสียจริง” อนิลบถว่าเสียงเข้ม เห็นทีคงต้องปรามเสียให้หนักมีอย่างที่ไหน คิดจะเร่พายายตัวเล็กไปอวดโฉม
“นภาอยากให้ปักษากล้าออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านบ้าง อยากให้ปักษาได้รู้ว่าเธอไม่ได้แตกต่าง” อัปสรนภาว่าเสียงอ่อย ถึงแม้ว่าสิ่งที่เธอทำอาจจะคล้ายกับการเป็นคนเอาแต่ใจ แต่ไม่เลยเธอไม่เคยคิดจะฝืนใจคนที่เธอรักเสมือนพี่น้องคลานตามกันมา เธอจึงมีแต่ความปรารถนาดีที่ถึงแม้นจะแสดงออกผิดวิธีไปบ้างก็ตาม
“สิ่งที่นภาคิดและทำก็ใช่ว่าผิด” ได้ยินน้ำเสียงที่อ่อนลงของน้องสาวคนเป็นพี่ก็อดที่จะสงสารไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นที่เที่ยวที่แรกที่อยากให้พี่พาไปคือที่ไหนกัน”
“อืม” อัปสรนภาเอียงหน้าครุ่นคิด ก่อนจะเบิกตากว้าง ลืมสิ้นซึ่งน้ำเสียงอ่อนอ่อยเมื่อครู่ “ไปกินอาหารจีนดีหรือไม่คะ”
อนิลบถพยักหน้ารับน้อยๆ เพียงเท่านั้นคนที่นอนอยู่บนเก้าอี้นอนตัวข้างๆก็ดันตัวลุกขึ้น
“งั้นนภาขอตัวไปนอนก่อนนะคะ พรุ่งนี้จะได้มีแรงกินมีแรงเที่ยว คอยดูเถอะจะสั่งเป็ดย่างมากินให้พุงกางเทียว”
เมื่อได้ไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้ว อัปสรนภาจึงยิ้มกว้าง มั่นใจเสียยิ่งกว่ามั่นใจว่าเรื่องอาหารจีนวันนี้ พี่ชายเธอไม่ใช่คนต้นคิด เพราะไม่มีบริบทไหนในบทสนทนาที่เอื้อให้เป็นไปตามสิ่งที่ตะวันวาดกล่าวอ้าง เนื้อหอมจริงเทียว เพิ่งจะกลับมาถึงบ้านก็มีเรื่องรักๆใคร่ๆมาให้น้องสาวอย่างเธอปวดหัวเสียแล้ว
“สงสัยพี่วาดจะละเมอ เค้ามั่นใจว่าพี่เวหาไม่ใช่คนชวนแน่นอน ไปเถอะก่อนที่เป็ดย่างของโปรดจะเหลือแต่กระดูก”
อัปสรนภาว่าก่อนจะจูงมือศกุนตลาดกลับไปยังโต๊ะรับประทานอาหาร
ความคิดเห็น |
---|