
4
อันองค์นั่งบนเก้าอี้สตูลสูงหน้าเคาน์เตอร์บาร์ในครัวสีขาวพลางจ้องกาเบรียลราวจะกินเลือดกินเนื้อ หลังจากฟังเวนไตยสรุปสถานการณ์เมื่อวาน มันจบลงด้วยการที่ทั้งคู่ถูกคนของอรรถตามไล่ล่า จนต้องพลอยพาทีมของกาเบรียลหนีเข้ามาถึงในเซฟเฮาส์แห่งนี้
"แล้ว 'เรา' มาเกี่ยวอะไรกับหมอนี่" อันองค์ถามเวนไตยพร้อมถลึงตาใส่แขกไม่ได้รับเชิญอย่างขัดใจ
'หมอนี่' ทำสีหน้าแปลกๆ เมื่อต้องกลายเป็นหัวข้อสนทนาเหมือนคนไม่มีตัวตน ทั้งๆ ที่นั่งอยู่ต่อหน้า เป็นครั้งแรกในชีวิต
แน่ละ ไม่มีใครเคยกล้าทำเหมือน กาเบรียล เฮย์เดน มหาเศรษฐีอันดับท็อปเทนของโลกไม่มีตัวตนมาก่อน
‘ยกเว้น...’
ดวงตาสีเขียวของชายหนุ่มหรี่ลง มองคนที่นั่งละเลียดนมจนหมดแก้วอยู่ตรงหน้าอย่างมาดร้าย
ดวงหน้าขาวซีดของคนที่เพิ่งอาบน้ำออกมาไม่มีแม้รองพื้นหรือครีมใดๆ ดูเด็กลงไปอีกอย่างน้อยสองสามปีจากที่ดูเด็กกว่าอายุจริงอยู่แล้ว ยิ่งมีแก้วนมสดอยู่ในมือ ยิ่งเหมือนเด็กอายุสิบสี่สิบห้าปี แต่พอมาอยู่ในเสื้อคลุมอาบน้ำก็ดูเป็นลูกแมวน้ำตัวอ้วนขาวขนฟู
นอกจากจะมีรอยแผลเป็นที่คิ้วแล้ว เธอยังมีรอยขี้แมลงวันจุดเล็กๆ ที่ใต้ตาซ้าย กับมีรอยแผลเป็นจางๆ อีกรอยที่หลังมือซ้าย มันเป็นรอยใหญ่ขนาดเหรียญหนึ่งเซ็นต์ มีรอยทั้งที่หลังมือและฝ่ามือเหมือนเป็นแผลที่ถูกทำให้ทะลุเป็นรู ดูเป็นลูกแมวน้ำที่มีร่องรอยการถูกทำร้ายจากนักล่าเต็มไปหมด
"จำเป็นต้องเกี่ยวด้วยนิดหน่อย เพราะ..." เวนไตยอธิบายเจ้านายด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย "อรรถมันไปบอกเจ้าสัวว่าแกเป็นคนวางระเบิดโรงแรม แถมยังไล่ฆ่าคู่ค้าของเจ้าสัวอีก ตอนนี้นอกจากคนของอรรถก็มีคนของเจ้าสัวอีกฝูงนึงที่ไล่ล่าแกอยู่"
อันองค์สบถพร้อมเอาหัวโขกเคาน์เตอร์...เบาๆ เพราะกลัวเจ็บ
"ทำไมอรรถต้องการฆ่าผม" กาเบรียลอดรนทนไม่ไหวต้องแสดงตัวตน เพราะเขาก็เป็นหนึ่งในผู้เสียหาย
"หมอนั่นมันก็ต้องการฆ่าทุกคนแหละ" อันองค์บอกรวนๆ
"ขอโทษที คุณติดต่อธุรกิจอะไรกับคุณอัครา" เวนไตยถามสุภาพขณะวางถ้วยโจ๊กสีขาวลงตรงหน้าหญิงสาว
กาเบรียลอธิบายธุรกิจคร่าวๆ ให้คู่สนทนาเข้าใจ เพราะมันไม่เป็นความลับอะไร แค่การร่วมทุนมูลค่าสองร้อยห้าสิบล้านดอลลาร์ซึ่งเป็นข่าวแจกในไลน์ข่าวธุรกิจทั่วไปที่ใครๆ ก็รู้ได้อยู่แล้ว
"คุณบินมาตั้งไกลเพื่อเซ็นสัญญาธุรกิจแค่ไม่กี่ร้อยล้านเนี่ยนะ" หญิงสาวหรี่ตาอย่างสงสัย
"มีสัญญากับบริษัทอื่นแถวๆ นี้อีกสองสามที่" แม้จะคนละประเทศและห่างไปไกลมาก แต่ยังอยู่ในเอเชียก็ยังน่าจะนับว่าเป็นแถวๆ นี้อยู่มั้ง
"และผมมีโปรแกรมต่อไปอีกสองประเทศใกล้ๆ" กาเบรียลอธิบายอย่างใจเย็นก่อนถามต่อ "คุณยังไม่ตอบเลยว่าทำไมอรรถต้องการฆ่าผม"
"หมอนั่นมันก็จะฆ่าทุกคนแหละ ฉันยังโดนมันฆ่ามาแล้วสี่สิบ...เอ่อ...แปด" ดวงตาดำจัดของคนพูดดูเหม่อลอยขณะนึกทบทวน
"สี่สิบเก้าครั้งรวมเมื่อวาน" เวนไตยช่วยนับ
ขณะคนที่รอดชีวิตมาได้สี่สิบเก้าครั้งก้มดมอาหารในถ้วยอยู่ชั่วพัก ก่อนใช้ช้อนซุปเขี่ยอาหารเหลวๆ ไปมาจนเหมือนแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดปลอมปนแล้วค่อยตักโจ๊กสีขาวขึ้นชิมช้าๆ เมื่ออาการเหมือนละเลียดลิ้มรสมารวมกับข้อมูลที่เพิ่งรู้มาทำให้กาเบรียลเริ่มมั่นใจว่า มันไม่ใช่ท่าทางของคนที่ดื่มด่ำกับรสชาติอาหาร แต่เป็นการชิมหายาพิษซะมากกว่า
เวนไตยวางแก้วไวน์ขาวลงให้ข้างๆ แก้วน้ำเปล่า แต่หญิงสาวหยิบแก้วไวน์มาดื่มอั้กๆ ไม่พักแกว่ง ชิม หรือดมหาสารพิษเช่นอาหารชนิดอื่น
"เออ...พ่ออยากพบฉันทำไมวะ" อันองค์เพิ่งรู้ตัวว่าต้องถามถึงสาเหตุที่ต้องมาอยู่ที่นี่
"เอ่อ...เหมือน...น่าจะมีอะไรให้แกทำ..." เวนไตยกระแอมในคอ สีหน้าพะอืดพะอมที่ต้องเอ่ย
"ตาแก่นั่นจะให้ฉันทำอะไร" หญิงสาวหรี่ตาลงด้วยสัญชาตญาณระแวงภัยเมื่อเห็นท่าทางไม่น่าไว้ใจจากลูกน้องที่อมความลับไว้
"อืม...ภารกิจ เอ่อ...หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสองไรเงี้ย" เวนไตยมองเจ้านายก่อนพยักพเยิดไปทางชายหนุ่มร่างยักษ์
อันองค์นิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนความเข้าใจรางๆ จะปรากฏในสีหน้า เธอเริ่มตื่นตระหนก
"ไม่ใช่...อย่างที่ฉันคิดใช่ไหม" ใบหน้าขาวซีดเผือดลงจากที่ซีดมากอยู่แล้ว นัยน์ตาดำจัดตวัดมองชายหนุ่มที่นั่งถัดไป กวาดตามองเขาตั้งแต่หัวจดเท้าอย่างไม่เกรงอกเกรงใจจนคนถูกมองนิ่วหน้า
"อะไร" กาเบรียลขมวดคิ้วถามคนไม่มีมารยาทพวกนี้ที่เหมือนคุยกันด้วยรหัสลับรัวๆ
"...อย่างที่แกคิดแหละ" เวนไตยทอดถอนใจ
อันองค์ลุกพรวดสบถในคอ
"ตั๋วเครื่องบิน! ไปไหนก็ได้เที่ยวที่เร็วที่สุด ที่ออกนอกประเทศได้กับพาสปอร์ต เอาชื่อฟิลิปปินส์หรืออินโดก็ได้ ไปไหนไกลๆ ที่สุดดีวะ อาร์กติกแล้วกัน ขาวดี ฉันยังไม่เคยไปด้วย อีกสิบนาทีนะ" คนพูดรัวคำสั่งพลางหันกลับ ทำท่าจะวิ่งหนีออกนอกประเทศให้ได้ภายในสิบนาที
"เดี๋ยวๆๆ แม่แกล่ะ อย่าลืมสิ กลับมา!" เวนไตยเตือนสติจนคนที่วิ่งไปจนสุดมุมห้องแล้วต้องชะงักกึก ค้างอยู่ที่ประตู
อันองค์หมุนตัว เดินลากขาอย่างหมดอาลัยตายอยากกลับมาที่เคาน์เตอร์ครัว ซึ่งเธอกินอาหารจนหมดและเวย์เก็บล้างให้เรียบร้อยแล้ว เบื้องหน้าเธอจึงเป็นเคาน์เตอร์ครัวขาวสะอาดที่เจ้าตัวปีนขึ้นนั่งบนเก้าอี้สตูลตัวเดิม ก่อนทิ้งตัวลงแผ่ลงบนโต๊ะอย่างหมดสภาพ
เวนไตยหยิบถ้วยเล็กวางลงให้พร้อมแก้วน้ำ
"เอ้า ยา"
หญิงสาวทำหน้าเบ้ก่อนหยิบถ้วยยามากรอกลงคอ กลืนน้ำตามด้วยสีหน้าขมขื่นใจ
"มันมียาตัวไหนที่มันไม่ขื่นในคอแล้วทำให้หิวน้ำมั่งมั้ยเนี่ย เออ...เวย์ แขนเราเป็นรอยอ้ะ ขอยาหน่อยสิ"
คนพูดเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ จึงถกแขนเสื้อคลุมด้านขวาขึ้น เผยให้เห็นรอยช้ำสีม่วงแทบจะเป็นรูปมือคนบนต้นแขนขาวซีด รอยนั้นทำให้ชายทั้งคู่ที่มองอยู่นิ่งขึงไป
เวนไตยนิ่งเงียบไปก้ม ค้นหาอยู่ครู่เดียวก็วางหลอดยาแก้ฟกช้ำให้หญิงสาวรับไปทาเอง ก่อนเขาจะถามเสียงต่ำ
"ใคร?"
"ชัชกับเมฆ มันเข้าประกบตัวฉันที่สนามบินน่ะ"
เจ้าของรอยช้ำบอกชื่อลูกน้องของพี่ชายพร้อมอธิบายที่มาของรอยช้ำด้วยสีหน้าเหยเก ขณะค่อยบรรจงป้ายยาให้ตัวเองโดยไม่สนใจสีหน้าของเวนไตยที่เหี้ยมเกรียมขึ้นแทบเป็นคนละคน นัยน์ตาของชายหนุ่มมีรอยหมายมาดบางประการที่บ่งบอกได้ว่าเจ้าของชื่อทั้งคู่คงไม่ได้ตายดี
สีหน้าแบบนั้นไม่ได้มีที่เวนไตยคนเดียว เขาต้องประหลาดใจเมื่อเหลือบไปพบประกายตาแบบเดียวกันอยู่บนใบหน้ากาเบรียล ชายทั้งคู่สบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย และเหมือนส่งสัญญาณบางอย่างต่อกันโดยไม่ต้องเอ่ย
เวนไตยกลบเกลื่อนประกายตาอย่างฆาตกรในตาตัวเองโดยหันไปค้นหาอะไรกุกกักในลิ้นชัก
"หวีผมซะแล้วไปแต่งตัว เดี๋ยวเราจะจู่โจมไปพบเจ้าสัวแบบไม่ให้อรรถมันรู้ตัว คุยให้รู้เรื่องจบเรื่องบ้าๆ นี่แล้วแกจะไปอาร์กติก หรือขั้วโลกไหนก็ตามใจ" เวนไตยปะเหลาะ วางหวีกับกระปุกครีมซึ่งเอามาจากลิ้นชักใดลิ้นชักหนึ่งของครัวนั่นแหละ
"แล้วได้อะไรล่ะ ยังไงพ่อก็ไม่เชื่อฉันอยู่แล้ว หวีให้หน่อยสิ" เจ้านายพึมพำเสียงงอแง ขณะลูกน้องที่ความอดทนเป็นเลิศยังเกลี้ยกล่อมยาวๆ ไป
"ไม่! เพราะงี้ไง เราถึงต้องเอากาเบรียลไปด้วย" คนพูดหยิบกระปุกครีมทาผิวราคาแพงมาเปิด ควักครีมออกมาแต้มหน้าผาก แก้มสองข้า จมูก และคางให้หญิงสาวผู้เป็นเจ้านายอย่างไม่เบามือนัก เพราะเจ้าตัวไม่ยอมดูแลตัวเองจริงๆ
"มีพยานน่าเชื่อถือขนาดนี้ หมอนั่นทำอะไรแกไม่ได้หรอก" เขาสำทับพร้อมหยิบกระจกออกมาตั้งให้เจ้านายสาวสุดขี้เกียจ ยังดีหน่อยที่หญิงสาวยังยอมเอามือปาดๆ ลูบๆ ครีมทาหน้าตัวเองด้วยท่าทางเหมือนถูกบังคับ
"เหอะ...มันเคยยิงหัวฉันตอนอยู่ที่บ้านต่อหน้าต่อตาพ่อฉันเลยนะ ถ้าแกลืมไปแล้ว แผลที่คิ้วฉันเนี่ยจำได้มั้ย แถมพ่อก็ไม่ทำอะไรมันเลยด้วย" คนพูดจิ้มแผลเป็นที่คิ้ว ยืนยันด้วยสีหน้าเคืองขุ่น แล้วต้องสะดุ้งเมื่อหันมาเห็นชายหนุ่มอีกคนที่ยังจ้องอยู่ ดวงตาของเขาเปล่งประกายน่ากลัวเหมือนเธอเผลอไปทำอะไรให้เขาโกรธเข้า
กาเบรียลใช้ความอดทนที่สุดแล้วที่ยอมนั่งรอคอยให้หญิงสาวกินอาหารด้วยท่าทางพะอืดพะอมจนเสร็จ...ถ้าไม่เพราะเจ้าตัวโวยวายว่าไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวานนะ เขาคงเค้นคอเขย่าถามไปแล้ว แต่...ถึงอย่างนั้นคนที่นั่งเครื่องบินมาสิบกว่าชั่วโมง โดนลักพาตัว แถมยังต้องหนีระเบิดหัวซุกหัวซุน แล้วหลับไปอีกสิบชั่วโมงโดยไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวานกลับตักโจ๊กเละๆ สีขาว ท่าทางไม่มีรสชาติเข้าปากไปได้แค่ครึ่งถ้วยเท่านั้น...มิน่าถึงเหมือนคนเป็นอะนอเร็กเซีย[1] ขนาดนี้
แถม...ยังไม่ทันที่เขาจะได้ถามไถ่เรื่องราวอะไร เธอก็ทำท่าทางตื่นตระหนกลุกพรวดพราดจะวิ่งหนีไปอาร์กติก!
ถ้าเวนไตยไม่เรียกสติเธอกลับมา ยายลูกแมวน้ำนี่คงได้เตลิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
อาร์กติก!
ฝันไปเถอะ! รู้ไหมว่าเขาเสียเวลาเสียเงินเสียอารมณ์ไปแค่ไหนแล้ว
เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีหน้ามานั่งโชว์รอยแผลเต็มตัวที่โดนคนอื่นทำร้ายมาให้เขาดูอีก! คนคิดหัวเสียจนแววตาขุ่นขวางแทบฆ่าคนได้...ฆ่าไอ้พวกที่มันสร้างรอยแผลพวกนี้ไว้บนร่างเธอ...พวกมันจะต้องไม่ได้ตายดี
คิดแล้วชายหนุ่มก็เบนสายตาไปที่เวนไตยซึ่งน่าจะให้รายชื่อพวกนั้นได้ เขาหมายมาดอยู่ในใจ...นั่นทำให้คำพูดต่อมาที่เอ่ยกับอันองค์มีร่องรอยโหดเหี้ยมอย่างปิดไม่มิด
"คุณจะต้องไม่เป็นอะไร เราจะเป็นพันธมิตรกันช่วงสั้นๆ ผมจะรับรองความปลอดภัยของคุณตลอดเวลาที่ผมอยู่ที่นี่ แต่คุณต้องให้ข้อมูลมา"
มันเป็นคำรับรองความปลอดภัยที่...ฟังดูโคตรไม่ปลอดภัยเลย ให้ตายสิ!
โดยเฉพาะเมื่อมันมาจากเจ้าของดวงหน้าหล่อเหลา ดวงตาสีเขียวของเขาส่องประกายอันตรายเหมือนจะฆ่าคนได้จ้องเอาๆ มาทางเธอ จนคนถูกจ้องชักแหยง ยิ่งอันองค์ไม่ใช่คนสู้คนอยู่แล้ว หญิงสาวเบือนหน้าหนีดวงตาอาฆาตคู่นั้น แล้วหันไปเล่นงานลูกน้องตัวเอง
"พันธมิตรอะไรวะ ระหว่างที่ฉันหลับไปแกไปตกลงอะไรกับเขา"
เวนไตยผิวปากหวิว ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ขณะหันไปก้มหน้าก้มตาล้างแก้วไวน์
ดูเหมือนว่าเวนไตยจะแอบงุบงิบไปตกลงอะไรบางอย่างกับกาเบรียลในระหว่างที่เธอหลับไปสิบชั่วโมง แต่ยังไม่ทันได้โวยวายเรื่องนี้ หญิงสาวก็ต้องสะดุ้งเมื่อเจอคำถาม
"เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า" กาเบรียลถามเสียงเข้มขณะมองต้นแขนของหญิงสาว ที่นอกจากมีรอยช้ำที่กำลังใส่ยาแล้ว ยังมีรอยสีแดงรอบแขนเหมือนเกือบโดนตัดแขน แต่ไม่สำเร็จ
"เจอสิ...เมื่อวานไง" อันองค์ตอบกวนๆ แต่หันไปยิ้มให้ด้วยสีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์
เธอดึงแขนเสื้อคลุมลงมาซ่อนรอยแผลที่ต้นแขนขวา พยายามหดแขนซ้ายที่มีรอยแผลเหมือนโดนเจาะทะลุมือซ่อนไว้ใต้โต๊ะ
ซึ่ง...ไม่น่าจะทันแล้ว...
เพราะเมื่อวานนี้...ตลอดเวลาที่กาเบรียลยึดร่างน้อยไว้บนตัก ดวงตาคมกริบก็กวาดมองเก็บรายละเอียดทุกส่วนที่โผล่พ้นร่มผ้าออกมา และบันทึกลงในสมองไปเรียบร้อยแล้ว
"ก่อนหน้านั้นล่ะ" นัยน์ตาสีเขียวจ้องแบบจับผิดจนคนฟังกลอกตา
"คุณจำทุกคนที่เจอได้หมดเลยหรือไง อาจเจอกันที่นิวยอร์ก เดินสวนกันในสนามบิน หรือนั่งรถสวนกันที่บอสตันก็ได้ คุณคงไม่ได้หวังว่าคนที่เผอิญมาอยู่ที่เดียวกันกับคุณในสถานที่ที่มีคนเป็นพันเป็นหมื่นจะจำคุณได้หรอกนะ"
"เคย...มั้ย?" คนถามเน้นเสียงเหมือนมีอารมณ์อยากเค้นคอเธอหน่อยๆ
"ไม่" อันองค์ตอบโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด ทั้งที่ใจตุ๊มๆ ต้อมๆ พิกล
ถ้าหมียักษ์จับโกหกเธอได้ อาจไม่จบลงแค่โดนเค้นคออย่างโมโห เขาอาจซ้อมเธอปางตายเหมือนที่เคยทำมาแล้ว...กับ...คนอื่น
"โอเค ผมจะถือว่าคุณยืนยันคำตอบนั้น" กาเบรียลรับคำเสียงเข้ม
ทำไม...ฟังดูเหมือนคำสั่งประหารชีวิตยังไงพิกลนะ
"เอาละ ทีนี้เล่ามาว่าเรื่องของคุณออกมาให้หมด...คำถามแรก...ชื่อคุณแปลว่าอะไร"
อันองค์กะพริบตาปริบๆ มองหน้าคู่สนทนางงๆ
...นี่มัน...โคตรแอนติไคลแมกซ์เลย
หลังจากที่ข่มขู่คุกคาม แทบจะเค้นคอรีดข้อมูลจากเธอ คำถามของเขาคือ...ชื่อเธอแปลว่าอะไรเนี่ยนะ จริงอยู่หรอกว่าความหมายของชื่อเธอนั้นไม่เคยมีอยู่ในพจนานุกรมเล่มไหนๆ ทั้งนั้น แต่...
"ล้อกันเล่นใช่มะ"
"ไม่ แปลมา" สีหน้าขรึมดุกับนัยน์ตาสีเขียวที่จ้องมองมาอย่างจริงจังทำให้อันองค์ไม่อาจคิดเป็นอื่นได้นอกจากความจริงจังอะไรสักอย่างที่คงไม่พ้นการหาข้อมูลจากเธอ เธอจึงยักไหล่แม้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะอยากรู้ไปทำไม
"ไม่มีความหมายหรอก...จะเรียกว่ามั่วก็ได้ แม่ฉันตั้ง ให้แต่แม่ก็ไม่ใช่นักภาษาศาสตร์ แม่แค่เอาคำว่า อนงค์ มาตั้งเพื่อให้คล้องกับชื่อพี่ๆ คนอื่นที่เป็นอักษร อ. อ่างน่ะ แต่ดูเหมือนแม่จะคิดว่ามันเชย เลยดึงคำออกมาเป็นคำว่าอันกับองค์ เพราะอนงค์ เป็นชื่อของพระกามเทพ เทวดาในศาสนาพราหมณ์ผู้แผลงศรดอกไม้ใส่เพื่อให้พระอิศวรกลับมาพบรักกับชายาของพระองค์ที่พลัดพรากจากกัน ทำให้พระอิศวรเปิดเนตรที่สามขึ้น พระกามเทพจึงถูกแผดเผาเป็นเถ้าถ่านจนไร้ร่าง จึงถูกเรียกว่า พระอนงค์ หมายถึงผู้ไม่มีตัวตน ดังนั้นคำว่า ‘อัน’ ที่แปลว่าไม่ กับ ‘องค์’ ที่แปลว่าตัวตน ความหมายคือไร้ร่าง...ไม่มีตัวตน"
"คุณก็เลยทำให้ตัวเองไร้ตัวตนเหมือนชื่อ" กาเบรียลสรุป
อันองค์ทำปากเบ้ ไม่ต่อคำ เธอเอื้อมมือไปหยิบขวดวอดคาที่เรียงอยู่บนชั้นไกลๆ แต่โดนเวย์ตีมือจนต้องหดแขนกลับมา
"กินยาอันตรายเข้าไปแล้ว ห้ามกินเหล้า!" ลูกน้องที่เพิ่งตีมือลูกพี่ดุเสียงเข้มอย่างเหลืออด
พออีกฝ่ายอ้าปากจะเถียง เขาก็เอานิ้วชี้จิ้มใส่หน้า
"มันจะทำให้ไตพัง จำที่ต้องฟอกไตเมื่อคราวที่แล้วไม่ได้เรอะ สนุกดีสินะ" เขายกความทรมานครั้งเก่าเอามาขู่จนคนโดนขู่สะบัดหน้าหนี
"ภารกิจหนึ่งบวกหนึ่งเป็นสองคืออะไร" เมื่อเห็นแล้วว่าทั้งคู่เหมือนจะพูดคุยไร้สาระกันได้ไม่เลิกรา กาเบรียลตัดสินใจถามแทรกโดยไม่สนใจจังหวะอะไรทั้งนั้น
คำถามนั้นทำให้คู่ลูกพี่กับลูกน้องที่เถียงกันอยู่ชะงัก อันองค์หันมองมาดวงตาที่มีรอยขุ่นเคือง แต่ระงับไว้ได้อยู่ หญิงสาวหรี่ตานิดๆ เป็นสัญญาณว่าเจ้าตัวไม่ปรารถนาจะตอบคำถามนั้น
"เคยได้ยินทฤษฎีเรื่องหนึ่งบวกหนึ่งเป็นสามมั้ย" เจ้าของเสียงใสเริ่มต้นเอ่ย
"คืออะไร" กาเบรียลขมวดคิ้ว เริ่มรู้สึกตัวแหละว่ามีคนเฉไฉ แต่ก็อยากรู้ว่าจะแถไปได้ถึงไหน
“คือการที่...ถ้าคุณมีโรงแรมอายุหลายสิบปีที่อยากจะรีโนเวตอยู่แห่งหนึ่ง มีคนที่อยากฆ่า แต่ทำยังไงก็ไม่ตายสักทีอยู่คนนึง มีระเบิดในบริษัทเหมืองของพ่อที่หยิบออกมาใช้แล้วแจ้งหายได้ง่ายๆ แถมยังทำประกันภัยโรงแรมเอาไว้แล้วด้วย ดังนั้นคุณจะได้ฆ่าคนที่อยากฆ่าไปพร้อมกับรีโนเวตโรงแรมแบบไม่ต้องเสียอะไรสักบาทเพราะประกันจ่ายหมด แถมยังดูเหมือนจะโยนความผิดให้ฉันได้อีกด้วย...
“ส่วนคุณฉันยังไม่แน่ใจว่าเขาอยากฆ่าคุณทำไม อาจเป็นของแถมไว้โพรโมตตอนเปิดโรงแรมใหม่มั้งว่าเคยมีมหาเศรษฐีมาถูกระเบิดตายที่โรงแรม”
คนฟังสีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขากะพริบตาปริบๆ ขมวดคิ้วพลางวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาอย่างงงๆ
"ผมไม่เข้าใจ แผนที่เต็มไปด้วยช่องโหว่แบบนี้เขาทำเพื่ออะไร มันไม่เมกเซนส์เลย"
“ถ้าอรรถเป็นอาชญากรสมบูรณ์แบบ ฉันคงไม่รอดมาเล่าให้คุณฟังหรอก” อันองค์ทำปากเบ้ อธิบายว่า “แผนของอรรถมักมีช่องโหว่ตรงนั้นตรงนี้เสมอแหละ ถึงจะไม่ค่อยฉลาดเรื่องวางแผน หรือความสมจริงเท่าไหร่ แต่หมอนั่นก็มีทีมงานเก่งๆ มากมายที่คอยซัปพอร์ตตั้งแต่รับคำสั่งจนปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมาย นอกจากนี้ยังมีทีมทนายกับเส้นสายที่คอยเป่าคดีให้หลักฐานอ่อน เอาผิดได้ยาก แถมเขายังมีความพยายามเป็นเลิศ มักลงมือด้วยความโหดเหี้ยม เฉียบขาด รุนแรง และไม่หยุดจนกว่าเหยื่อจะตาย...”
คนพูดหันมามองหน้าคู่สนทนา ก่อนจะทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
“อ้อ...ดูเหมือนหมอนั่นจะใส่ชื่อคุณในบัญชีรายชื่อมันเรียบร้อยแล้วละ ยินดีด้วยนะ” คราวนี้รอยยิ้มหญิงสาวกว้าง และไม่ปิดบังริ้วรอยขบขันในดวงตาสักนิด มีความสะใจเล็กๆ เมื่อได้แจ้งข่าวการถูกหมายหัวเป็นเพื่อนเธอให้แก่อีกฝ่าย
คนฟังทำสีหน้าปั้นยาก แต่ยังอยากรู้เรื่องราวอยู่ดี
"เล่าเรื่องฆาตกรรมพี่น้องให้ฟังหน่อยสิ"
อันองค์นิ่งไป ดวงตาไหววูบเหมือนเธอเผลอไปขุดค้นความทรงจำบางอย่างขึ้นมา
"มัน...ไม่น่า...จดจำหรอก..." ดวงตาสีดำของเธอมีแววเจ็บปวดวูบหนึ่งเหมือนสัตว์บาดเจ็บที่ถูกไล่ต้อนจนมุม "อยากรู้อะไรถามเวย์เอาละกัน"
"ไม่ คุณเล่าให้ผมฟัง" กาเบรียลทำเป็นไม่สนใจความหวั่นไหวในดวงตาของหญิงสาว เขาต้องการฟังจากปากเธอเอง
คำพูดนั้นทำให้คนที่ท่าทางเหมือนลูกสัตว์บาดเจ็บอยู่จนถึงเมื่อครู่หันมามองตาวาววับ เหมือนสายตาสัตว์ล่าเนื้อที่พร้อมเข้าต่อสู้อย่างดุเดือด
"เอนก อนันต์ อรรณพ อนุชา อธิป อรุณ อัปสร อร อารยา...เอาคนไหนล่ะ"
"ทั้งหมดนั่นตายหมดแล้ว?"
"ไม่เหลือ"
"มีแต่คุณที่รอดมาได้?"
หญิงสาวทำปากเบ้ "ถ้าคุณเรียกการรอดตายจากการถูกฆ่าสี่สิบเก้าครั้งว่ารอด...ใช่ ฉันรอดมาได้"
"แล้วคุณอัคราไม่ทำอะไรหรือ ทำไมถึงปล่อยให้พี่น้องฆ่ากันเอง"
คำถามนั้นคือฟางเส้นสุดท้ายสำหรับหญิงสาว อันองค์ที่ทนความกดดันจนสภาพจิตใจเปราะบางรับไม่ไหวอีกต่อไป ลุกพรวดขึ้นทันที และทำสิ่งที่เธอถนัดที่สุด
หนี!
ทั้งที่คนที่คาดคั้นเธอตกตะลึงและตาค้างนี่ละ!
กาเบรียลไม่ได้ขังแม่เธอขังไว้เป็นตัวประกันเสียหน่อย ดังนั้นร่างบางที่เต็มไปด้วยรอยช้ำและบาดแผลจึงเผ่นพลิ้วหายไปราวกับหมอกควัน ทิ้งให้เวนไตยถอนหายใจหนักๆ มองตามหลังเจ้านายที่วิ่งซอยเท้า หนีลงบันไดไปชั้นล่าง
[1] โรคคลั่งผอม (Anorexia) ถูกจัดให้อยู่กลุ่มโรคการกินผิดปกติและถือเป็นปัญหาทางสุขภาพจิต
ความคิดเห็น |
---|