
8
สรุปคือรักไปแล้ว
เหมือนมาลีรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสาวแรกรุ่นตกอยู่ในภวังค์แห่งรัก มันชวนฝัน ล่องลอย ราวกับอยู่ในภาวะสุญญากาศ และคล้ายกับว่าริมฝีปากของเธอยังมีสัมผัสอันหวานชื่นจากริมฝีปากร้อนของชนกันต์ประทับอยู่ตลอดเวลา
มือเล็กค่อยๆ บรรจงทำแซนด์วิชแฮมชีสสำหรับมื้อเช้าด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มตลอดเวลา มือทำอาหารเช้า แต่จิตใจล่องลอยไปไกลแสนไกลแล้ว
กึก!
เสียงเปิดประตูทำให้คนกำลังเพ้อพกเลื่อนสายตาจากขนมปังในมือขึ้นมอง หัวใจเธอกระตุกรุนแรงอีกครั้งเมื่อเห็นว่าชนกันต์เดินออกมาจากห้อง เขาอยู่ในชุดเสื้อยืด นุ่งกางเกงยีนแบบพอดีตัว ผมที่ยังไม่แห้งดีปรกลงมาบนใบหน้าหล่อเหลา
ดูเซ็กซี่เป็นบ้า
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
“เอ่อ! อรุณสวัสดิ์ค่ะ” เธอยกมือทักทายเขาอย่างเก้ๆ กังๆ
ชนกันต์ยิ้มนิดๆ แล้วเดินมานั่งลงบนโต๊ะที่เหมือนมาลีกำลังจัดมื้อเช้า
“เมื่อคืนหลับสบายมั้ย”
“สบายค่ะ” เธอรีบตอบ ทำน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด ทว่าขณะที่พยายามอย่างหนัก ชนกันต์กลับทำลายความพยายามของเธอเสียสิ้นด้วยการคว้าหมับที่ข้อมือเธอ
เหมือนมาลีเบิกตากว้าง มองเขาอย่างไม่เข้าใจการกระทำนั้นๆ
“พี่เห็นว่ามือแยมสั่น กลัวว่ามีดที่หั่นขนมปังจะบาดมือเอา พี่หั่นให้ดีกว่านะ” ชนกันต์ค่อยๆ ดึงมีดจากมือเล็กมาถือไว้ พร้อมกับเลื่อนถาดแซนด์วิชที่ใส่ชีสกับแฮมเรียบร้อยแล้วมาหั่นครึ่งเอง
เหมือนมาลีลูบข้อมือตัวเองป้อยๆ ขนาดว่าเขาปล่อยมือแล้ว เธอยังรู้สึกอุ่นที่ข้อมือ เหมือนกับว่าเขาสัมผัสที่ตรงไหนก็จะทิ้งรอยไว้อย่างนั้นไม่จางหายไปเลย
“วันนี้พี่ยืมรถมอ’ไซค์ขับไปตลาดหน่อยนะ”
เหมือนมาลีเลิกสนใจข้อมือตัวเองแล้วหันมาคุยกับชนกันต์ด้วยท่าทีขึงขัง กลบเกลื่อนความหวั่นไหวที่มีมากขึ้นทุกที
“ได้สิคะ ความจริงพี่กันต์ใช้รถกระบะก็ได้ จะได้ไม่ร้อน”
“แยม”
“คะ?”
“สัญญากับพี่ได้มั้ย ว่าอย่าไว้ใจลูกค้าคนไหนมากแบบนี้อีก รถมอเตอร์ไซค์มีไว้บริการลูกค้าไม่ผิดนะ แยมแยกให้ชัดเจนไปเลยว่าคันไหนรถส่วนตัว คันไหนรถสำหรับลูกค้า รถยนต์เป็นรถส่วนตัว ถ้าเจอคนไม่ดีเข้าจะแย่เอาได้ บางคนไม่ได้มาขโมยรถ แต่อาจจะยัดสิ่งผิดกฎหมาย หรืออะไรที่อันตรายมากกว่านั้น”
เหมือนมาลียอมรับว่าคิดน้อยเกินไป โดยปกติเธอไม่ใช่คนไว้ใจใครง่ายๆ ทว่านับตั้งแต่เข้ามาอยู่หมู่บ้านเนินมะปรางก็ราวหกเดือนแล้ว เธอไม่เห็นถึงอันตรายใดๆ ชาวบ้านละแวกนี้อยู่กันแบบเป็นครอบครัว คอยสอดส่องดูแลกันทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย พลอยทำให้นิสัยขี้ระแวงอันมีมาก่อนหน้าจางหายไปด้วย
มากไปกว่านั้น...ลูกค้าที่ขอใช้รถของเธอเป็นชนกันต์ ผู้ชายที่เธอยอมให้เขาได้จูบแรกไป
ถ้าจะระแวง...ก็คงช้าไปหน่อยกระมัง
“แยมนึกไม่ถึงเลยจริงๆ ค่ะ แหม! ถ้าไม่รู้ว่าพี่กันต์เป็นนักเขียน แยมคิดว่าเป็นตำรวจปลอมตัวมาเสียอีกนะคะเนี่ย”
เหมือนมาลีกล่าวน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ไม่ทันได้เห็นว่าดวงตาสีนิลวูบไหว เธอเทกาแฟดำใส่แก้วแล้วส่งให้เขา
“แยมสัญญา ว่าจะไม่ไว้ใจใครแบบนี้อีก นอกจากพี่กันต์” ดวงตากลมโตมองอย่างสื่อความหมาย ขณะที่ชนกันต์มองสบไม่หลบตา
แต่เหมือนมาลีคงอ่อนหัดเรื่องความรักเกินไป เธอไม่มีวันรู้เลยว่าแววตาของเขาเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกซึ่งตรงกันข้ามกับความรู้สึกของเธออย่างสิ้นเชิง
ชนกันต์จอดรถจักรยานยนต์หน้าร้านค้าอันเป็นศูนย์กลางของคนในชุมชน สำเริงสำราญโฮมสเตย์ห่างจากร้านค้าแห่งนี้ไม่เกินสองกิโลเมตร คิดดูแล้วหมู่บ้านอันห่างไกลแห่งนี้ค่อนข้างสงบจนดูไม่เป็นที่น่าสงสัยว่าไดมอนด์จะใช้เป็นแหล่งกบดาน ประชาชนสุขภาพจิตดี ทรัพยากรเพียงพอต่อการดำรงชีพ และเอื้อต่อการประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามจนเกิดเป็นธุรกิจท่องเที่ยวเล็กๆ หลายแห่ง แม้จะไม่ใหญ่โตเหมือนเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆ แต่ก็นับว่าประชาชนในชุมชนแห่งนี้มีรายได้เลี้ยงตัวเองได้อย่างดี โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งยาเสพติดเลย
แต่เมื่อสืบเส้นทางการค้ายาจากพ่อค้ายาเสพติดหลายรายที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับตัวได้แล้ว จุดเริ่มต้นมาจากหมู่บ้านแห่งนี้จริงๆ
เพียงแต่ว่าไม่ง่ายเลยที่จะรู้ว่า ‘ใคร’ คือต้นตอของยานรกนั่น
ผู้กองหนุ่มสอดส่ายสายตาสำรวจความเป็นไปรอบๆ เพื่อเก็บรายละเอียด แต่การสุ่มหาตัวคนร้ายแบบนี้ไม่ต่างจากงมเข็มในมหาสมุทร
เขาต้องคิดให้ออกว่ามีหนทางใดบ้างที่จะทำให้เข้าถึงตัวคนร้ายได้จริงๆ ไม่ใช่คลำหาเหมือนคนตาบอดแบบนี้
“ทุกคนหลบไปค่ะ หลบไป รถไม่มีเบรก กรี๊ด!”
เสียงกรีดร้องโวยวายทำให้ชนกันต์หันไปมองอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เห็นคือจักรยานคันหนึ่งพุ่งมาทางเขาด้วยความเร็วที่ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย ชายหนุ่มตกใจ แต่ก็ตั้งสติได้เร็วพอจะคว้าจักรยานคันนั้นทันก่อนมันจะชนร้านค้าจนเกิดการบาดเจ็บเอาได้
จักรยานซึ่งหยุดกะทันหันด้วยท่อนแขนแข็งแกร่งนั้นเหวี่ยงร่างบางของผู้ขี่ลอยมาปะทะอกกว้าง ชนกันต์จับร่างเธอไว้แล้วดันจักรยานให้ล้มลง เดือนฉายมึนงงอยู่ชั่วขณะ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก กว่าเธอจะตั้งสติได้ก็หลายวินาที
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” เขาถามคนในอ้อมกอด
เดือนฉายกะพริบตาปริบๆ มองอัศวินขี่ม้าขาวผู้ช่วยชีวิตเธอไว้ด้วยความรู้สึกอันแปลกประหลาด เมื่อเห็นว่าเขาตรึงสายตาไว้ที่เธอ หญิงสาวจึงค่อยๆ ถอนกายออกจากอ้อมกอดนั้น ก้มหน้างุดด้วยความอาย
“ขอบคุณนะคะ ที่ช่วย”
“ไม่เป็นไรครับ คุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ย” ชนกันต์ถามย้ำ
เดือนฉายส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่เป็นไรค่ะ แต่ถ้าไม่ได้คุณช่วยไว้ ฉันต้องแย่แน่ๆ”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้วครับ”
ไม่ทันได้สนทนาอะไรกันมากกว่านี้ เฮียตง เจ้าของร้านค้า รวมถึงชาวบ้านที่จับจ่ายซื้อของก็พากันมุงดูเหตุการณ์
“คุณครู ไปเอาจักรยานใครมาขี่ โธ่เอ๊ย! เกือบชนแล้วมั้ยเล่า” เฮียตงกล่าวพลางยกจักรยานขึ้นมาดู สภาพของมันเก่าคร่ำครึจนไม่น่าเชื่อว่ายังขี่ได้
“จักรยานที่โรงเรียนค่ะ เห็นจอดทิ้งไว้ก็เลยลองเอามาขี่ดู เดือนพลาดเองที่ไม่เช็กให้ดีก่อนว่ามันไม่มีเบรก” เดือนฉายเป่าลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก โบกมือพัดเหงื่อกาฬที่แตกพลั่กด้วยความตกใจ
ชนกันต์ยิ้มให้ท่าทีโล่งอกของเธอ แม้ใบหน้าจะชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่เธอก็ยังดูสวยน่ามองจนเขาเผลอหยุดสายตาไว้ที่ดวงหน้ากระจ่างใส
‘สวย’
เขาบอกตัวเองในใจ และดูเหมือนว่าเดือนฉายจะรู้ตัว เธอยกมือจับจมูกจับหน้าผากตัวเองอย่างไม่รู้จะทำอะไรไปมากกว่านั้น ถึงจะหยุดสายตาของเขาที่มองมาได้
ชนกันต์รู้สึกตัว จึงละสายตาไปทางอื่นครู่หนึ่งแล้วค่อยหันกลับมามองด้วยแววตาที่เป็นปกติขึ้นกว่าเดิม ขณะที่ไทยมุงเลิกสนใจ และหันกลับไปทำภารกิจของตัวเองต่อแล้ว
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ คุณไม่ใช่คนแถวนี้ใช่มั้ยคะ ฉันไม่เคยเห็นคุณมาก่อน”
“ครับ ผมเป็นนักท่องเที่ยว พักอยู่ที่โฮมสเตย์ไม่ไกลจากที่นี่”
“สำเริงสำราญโฮมสเตย์สินะคะ ในหมู่บ้านนี้มีอยู่ที่เดียว” เดือนฉายยิ้ม แววตาเปล่งประกาย “ฉันชื่อเดือนนะคะ เป็นครูโรงเรียนบ้านเนินมะปราง”
“ผมเจอคุณแล้ว ครั้งหนึ่ง”
“เหรอคะ เมื่อไหร่กัน” เดือนฉายมีสีหน้าฉงนเป็นอย่างมาก เพราะเธอมั่นใจว่าไม่เคยพบชายรูปร่างหน้าตาแบบนี้มาก่อน เพราะถ้าเคยเห็น แค่เพียงครั้งเดียวเธอก็มั่นใจว่าต้องจำได้อย่างแน่นอน
“วันก่อนที่วัดครับ วันออกพรรษา”
“อ้อ! วันนั้นฉัน เอ่อ...วันนั้นฉันมัวแต่ยุ่งกับเด็กๆ ที่แต่งตัวเป็นนางฟ้าเทวดา ก็เลยหัวหมุนไม่ได้มองใครเลย”
“แต่สุดท้ายเราก็ได้รู้จักกันนะครับ” ชนกันต์ยิ้ม และยื่นมือไปให้หญิงสาว “ผมชนกันต์ครับ เรียกว่ากันต์ก็ได้”
“ค่ะ คุณกันต์ ถึงฉันจะไม่ใช่คนที่นี่ แต่ยังไงก็ต้องบอกว่า...ยินดีต้อนรับนะคะ”
เพราะท่าทีเป็นมิตร เพราะความสวยน่ารัก หรือเพราะอะไรไม่ทราบที่ทำให้ชนกันต์รู้สึกอยากยิ้มให้เธอ แม้โดยปกติเขาไม่ใช่พวกชอบยิ้มพร่ำเพรื่อ แต่หญิงสาวตรงหน้าก็ทำให้เขากลายเป็นคนแบบนั้น
“ยังไงเดือนก็ต้องขอบคุณคุณอีกครั้งนะคะ ถ้าไม่ได้คุณ เดือนคงหน้าแหกไปแล้ว ถ้าคุณกันต์ไม่ว่าอะไร เดือนอยากเลี้ยงตอบแทนสักมื้อจะได้มั้ยคะ”
ชนกันต์รู้ดีว่าเวลาแบบนี้ไม่ใช่เวลามาคิดทำเรื่องส่วนตัว ต่อให้เขาพึงพอใจในตัวเดือนฉายอย่างไร ก็ไม่มักง่ายพอที่จะสานสัมพันธ์กับเธอในสถานการณ์ที่มีงานเข้ามาเกี่ยวข้อง อีกข้อหนึ่งที่สำคัญกว่าคือชนกันต์คิดเสมอว่าด้วย ‘หน้าที่’ เขาไม่ควรมีความรัก หรือดึงให้ใครเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตเขาโดยไม่จำเป็น
“เรื่องแค่นี้เอง ไม่ต้องตอบแทนอะไรหรอกครับ ใครอยู่ตรงนี้ก็ต้องช่วยทั้งนั้น อย่าคิดมากเลยครับ”
เดือนฉายยังคงยิ้มค้างไว้แบบนั้น แม้ว่าภายในใจจะห่อเหี่ยวก็ตาม เธอเป็นผู้หญิง ไม่ควรแสดงความรู้สึกอะไรมากจนเกินงาม
“งั้นเดือนขอบคุณคุณกันต์อีกครั้งนะคะ”
“ว้าว! วันนี้ดวงดีแฮะ เจอครูเดือนคนสวยด้วย”
เสียงที่แทรกเข้ามาดึงความสนใจของคนทั้งคู่ได้ไม่ยาก เพราะบุคคลผู้นั้นส่งข้อความถึงเดือนฉายอย่างเปิดเผย เดือนฉายทำหน้ายุ่ง ชัดเจนว่าไม่สบอารมณ์เท่าใดนักที่ได้พบกับชายผู้นี้
“วงแตกแล้วค่ะ แยกย้ายเถอะ” เดือนฉายกระซิบบอกชนกันต์
เขาเพียงแค่เลิกคิ้ว เหลือบมองชายรูปร่างสูงเพรียวซึ่งเดินตรงเข้ามาพร้อมกับชายอีกสองคนที่ไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่าน่าจะเป็น ‘สมุน’
“เดี๋ยวสิครับคุณครู พอพี่มาถึงก็จะไปเลยเหรอ ทำแบบนี้เหมือนรังเกียจกันเลยนะ” การันต์กล่าวคล้ายอยากจะกวนประสาทมากกว่าหาเรื่องจริงจัง
ชนกันต์วางท่าทีนิ่งเฉย เพราะยังไม่รู้ว่าบุคคลผู้นี้เป็นใคร แต่ดูออกว่าเจ้าตัวกำลังสนใจเดือนฉายเป็นอย่างมาก ชนกันต์ไม่อยากมีปัญหากับใครทั้งนั้น ไม่ว่าคนคนนั้นจะเกี่ยวข้องกับคดีที่สืบอยู่หรือไม่ เพราะอาจส่งผลเสียต่อการสืบหาตัวคนร้ายซึ่งเวลานี้ก็หาตัวยากอยู่แล้ว หากเขาทำให้ตัวเองถูกนักเลงประจำถิ่นเขม่นด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างการเข้าไปขัดขวางทางรักของคนผู้นั้นเข้า ยิ่งทำให้หนทางสำเร็จของภารกิจไกลมากไปอีก
“ว่าไงล่ะ ไม่อยากคุยกับพี่ รังเกียจพี่มากนักหรือไง”
“ดูออกด้วยเหรอ” เดือนฉายโพล่งด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวรำคาญ นัยน์ตาแข็งกร้าวของอีกฝ่ายอ่อนแสงลงวูบหนึ่ง แต่เพียงวินาทีเดียวก็กลับมาแข็งกร้าวอีกครั้งคล้ายไม่ต้องการเผยให้เห็นความอ่อนแอ
“แต่กับคนอื่นไม่รังเกียจเลยนี่นา เห็นยิ้มหน้าบาน” การันต์หยุดสายตาไว้ที่ชายแปลกหน้าแบบจงใจให้รู้ว่า ‘คนอื่น’ ที่เขาหมายถึงนั้นเป็นใคร
ชนกันต์หรี่ตาลง ความไม่ชอบใจในใจเด่นชัดขึ้น ‘คนไม่อยากมีเรื่อง เรื่องก็มาหา’ ชายหนุ่มต้องระงับความหงุดหงิดนี้ไว้แล้วหันไปกล่าวอย่างเป็นมิตรกับชายผู้หมายปองครูสาว
“ขอโทษนะครับ น่าจะมีการเข้าใจอะไรกันผิด”
“มึงเป็นใครวะ ไม่เคยเห็นหน้า” การันต์ไม่ยอมเป็นมิตรกับคนที่มายุ่งกับหญิงสาวที่ตัวเองชอบ เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่แสดงชัดว่า ‘หาเรื่อง’
ชนกันต์ยังคงวางเฉยได้เป็นอย่างดี เขาไม่ตอบอะไร ขณะเดียวกันก็คิดหาวิธีออกจากสถานการณ์อันแสนน่าอึดอัดนี้
“คุณอย่ามาหาเรื่องใครแถวนี้นะ ฉันไม่ชอบ” เดือนฉายพยายามกดเสียงให้เยียบเย็น ทั้งที่ภายในเดือดดาล
“ไม่เป็นไร พี่ชินแล้ว เดือนเคยชอบอะไรพี่บ้างล่ะ”
“ก็รู้แล้วมายุ่งทำไม”
เดือนฉายถอนหายใจพรืดอย่างรำคาญ การันต์เห็นท่าทีของหญิงสาวก็หงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม แต่ทำอะไรเธอไม่ได้จึงได้แต่หาเรื่อง ก่อนหน้าเขาเห็นว่าเดือนฉายสนทนาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มต่างจากที่คุยกับเขาแล้วก็ยิ่งพานให้เกิดโทสะ
การันต์ขยับตัวเข้าไปใกล้ชายแปลกหน้า ระดับความสูงที่น้อยกว่าแม้เพียงเล็กน้อยก็มากพอให้เขารู้สึกเป็นรอง
“สรุปว่ามึงเป็นใคร”
“ผมเป็นนักท่องเที่ยว พักอยู่โฮมสเตย์ใกล้ๆ นี้เองครับ ไม่ได้มีอะไร” ชนกันต์พยายามส่งสัญญาณว่าเขาไม่อยากมีเรื่อง
“กล้าเอ๊ย! อย่ามีเรื่องเลย เฮียขอละนะ คุณเขามาเที่ยว เอาเงินมาให้หมู่บ้านเรา เอ็งจะอะไรกับเขานักเล่า” เฮียตงเห็นท่าไม่ดีเลยร้องขอให้การันต์หยุดหาเรื่อง ก่อนจะลุกลามจนเกิดเป็นการวิวาทกันใหญ่โต
“ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะเฮีย มองกันในแง่ร้ายไปหรือเปล่า ฉันไม่ชอบหาเรื่องใครก่อน ถ้ามันไม่มายุ่งกับคนของฉัน ฉันก็ไม่ยุ่งกับมัน” การันต์บอกขณะที่ยังจับจ้องชนกันต์ไม่วางตา ถึงชายตรงหน้าจะตัวสูงใหญ่กว่า เนื้อตัวแน่นไปด้วยมัดกล้ามดูแล้วเป็นต่อ แต่การันต์ก็ถือว่าคนของตนมีมากกว่าจึง ‘พร้อมบวก’ เสมอ สมกับที่ชาวบ้านเนินมะปรางเหยียดหยามว่าเป็นนักเลงปลายแถว
เดือนฉายคร้านจะต่อความยาวสาวความยืดกับคนจิตใจมืดบอด เธอหันไปตะโกนบอกชายสูงวัยผู้เป็นเจ้าของร้าน
“ฝากจักรยานไว้ที่ร้านก่อนนะเฮีย วันหลังค่อยมาเอา”
“ได้ๆ แต่ว่าครูจะมาซื้อของไม่ใช่เรอะ เอาอะไรล่ะ” เฮียตงเดินมาถามหวังหันเหความสนใจของคนทั้งสาม
“ไม่เอาแล้วค่ะ ไม่มีอารมณ์จะซื้ออะไร”
บอกเพียงเท่านั้นครูสาวก็เดินออกจากร้านไปทันทีด้วยสีหน้าที่ยับยุ่งอยู่อย่างนั้น
การันต์พ่นลมหายใจอย่างหัวเสีย ดวงตากร้าวฉายแววเจ็บปวดกับท่าทีเกลียดชังของเดือนฉายที่มีต่อเขา ทว่าสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเดินตามไป
“ดูมัน เขาเกลียดขนาดนี้ยังจะไปตามตื๊อเขาอีก” เฮียตงบ่นอย่างระอาใจ หันมาเห็นสองสมุนของการันต์ยังไม่ตามไปจึงออกปากไล่แบบอ้อมๆ “อ้าว! ไอ้เป็ด ไอ้อู๊ด ไม่ตามนายมึงไปเรอะ”
“ตามไปเป็นก้างขวางคอหรือไงเฮีย คนเขาจะจู๋จี๋กัน” เป็ดบอกพลางหยิบบุหรี่มาจุดสูบ
“ไอ้เป็ด มึงคิดได้ไงว่าเขาจะจู๋จี๋กัน เขาจะฆ่ากันตายอยู่แล้วนั่น”
“มึงไม่รู้อะไรก็หุบปากไปไอ้อู๊ด ผู้หญิงด่าแปลว่าผู้หญิงรัก เห็นมานักต่อนักแล้ว ปากบอกเกลียด ลูกดกเต็มบ้าน” บอกแล้วหันมาจ้องคนที่ดูเหมือนจะเป็นมารหัวใจของนายด้วยสายตาไม่พอใจ
ชนกันต์ไม่ยี่หระต่อสายตานั่นเลยสักนิด แต่ก็ต้องทำเหมือนประหนึ่งว่า ‘กลัว’ เสียเต็มประดาด้วยการหลบสายตาหาเรื่องนั้น พอสองคนนั้นพอใจจึงหัวเราะออกมาแล้วยอมเดินตามนายของมันไป
ชนกันต์มองตาม จดจำลักษณะของชายทั้งสองอย่างรวดเร็ว คนชื่อเป็ดรูปร่างผอมสูง ใบหน้าตอบ นัยน์ตาแห้งผากไร้สีเลือด ส่วนอีกคนผิวคล้ำกว่า ร่างสันทัด แววตาดูสดใสกว่าอีกคน ทั้งคู่มีรอยสักที่แขนซ้ายและขวา
“พ่อหนุ่ม อย่าไปสนใจไอ้พวกนี้เลย มันนิสัยนักเลงแบบนี้ละ วันๆ กวนตีนคนอื่นเขาไปทั่ว” เฮียตงกล่าวอย่างเห็นใจ ทั้งที่อุตส่าห์มาเที่ยวแท้ๆ แต่กลับต้องมาเจอเรื่องแบบนี้
“เขาเป็นใครเหรอครับ”
“ไอ้หัวโจกนั่นน่ะ ชื่อกล้า เป็นลูกชายกำนันแสน ส่วนสองคนนั่นก็ลูกน้องคอยติดสอยห้อยตามไอ้กล้ามันมาตั้งแต่นานนมแล้วละ”
คำบอกเล่าของชายสูงวัยทำให้ความคิดผุดพรายขึ้นในหัวของนายตำรวจหนุ่ม ดูเหมือนเขาจะมองเห็นหนทางแล้วว่าจะเริ่ม ‘สืบ’ จากตรงไหน
ความคิดเห็น |
---|