
“มึงแน่ใจฤๅ”
เบื้องหน้าเขาคือเด็กชายร่างผอมเกร็ง เสื้อผ้าขาดวิ่น เนื้อตัวสกปรกมอมแมม นั่งคุกเข่าก้มกราบหน้าผากจรดพื้น ร้องขอสิ่งที่ไม่ควรขอไม่ยอมเลิกราจนคร้านจะขับไล่ ไม่ว่าเงยหน้าขึ้นมากี่ครั้งในแววตาของมันก็ยังแน่วแน่จริงจัง หากปล่อยไว้ก็คงอดข้าวอดน้ำเดินตามเขาจนตายไปเท่านั้น
“แน่ใจขอรับ” เด็กชายตอบรับเต็มเสียง
“มึงทำได้ฤๅ” เขาถาม หัวเราะอย่างนึกขัน “มึงอายุเท่านี้ จักไปรู้กระไร”
ทว่าในวัยเพียงเก้าปีของเด็กชาย มันกลับผ่านสิ่งเลวร้ายมามากมายเหลือเกิน คนพูดเองก็เหมือนจะเข้าใจ ดังนั้นเมื่อมันจ้องตอบด้วยนัยน์ตาไร้ความรู้สึกคู่นั้น เขาก็ตัดสินใจว่าจะยอมให้มันได้ลองดู
ให้ได้ลิ้มรสเองทั้งหมด ทั้งความทระนงของการเป็นที่หนึ่งไร้คู่ต่อสู้ ย่างก้าวที่ปราศจากความกลัวในทุกหนแห่งที่ไป ให้ได้เจิดจ้าดุจตะวันสาดแสงยามกลางวันและทิ้งตัวลงปวดร้าวเพียงลำพังยามค่ำคืน
เด็กชายรู้พิษสงของ ‘อวิชชา’ นี้ดี เพราะเหตุนี้มันจึงตามหาเขา ขอร้องเขา
เขาหัวเราะอีก “เรียนจากกู ห้ามมีเมีย มึงว่ามึงทำได้ แล้วกูจักคอยดู”
คำหยอกล้อนั้นคงฟังไร้สาระยิ่งสำหรับคนไม่เหลือใครเลยอย่างมัน ฉับพลันนั้นใบหน้าเล็กจ้อยจึงแข็งกร้าวโกรธเคืองที่เขาเห็นความตั้งใจของมันเป็นเรื่องล้อเล่น ทั้งที่เป็นแค่ลูกหมาข้างถนน แต่กลับอยากดุร้ายให้ได้อย่างพยัคฆ์ ช่างเป็นภาพที่ทำให้คนมองเกิดความรู้สึกหลากหลายเหลือเกิน
และภาพนั้นยังคงติดตาเขาอยู่จวบจนวาระสุดท้าย ในวันที่เขาตายเพราะของย้อนเข้าตัว แต่ยังกล้าหวังว่ามันจะเป็นคนเดียวที่รอดพ้นจากเงื่อนไขอันโหดร้ายของอวิชชาต้องห้ามนี้ไปได้
เก่งกล้าร้ายกาจ ไม่รู้จักตายดุจภูตผี และมีชีวิตอยู่อย่างเดียวดายไปตลอดกาล!
สิบเจ็ดปีถัดมา ในเขตพระนคร กรุงศรีอยุธยา
ยามค่ำคืนเงียบสงัด บนเรือนไม้กว้างขวางมีแสงเทียนสว่างเรืองรองจากหน้าต่างห้องนอนเจ้าของเรือนซึ่งบัดนี้ใช้เป็นห้องหอ ภายในห้องมีเพียงเสียงร่าเริงของเถ้าแก่ฝ่ายหญิงผู้ทำหน้าที่ส่งตัวพร่ำพูดเกี่ยวกับการครองเรือนที่ดีเท่านั้น ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวต่างสงบปากสงบคำ เงียบงันท่ามกลางบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยสิ่งของมงคลและกลิ่นหอมของดอกไม้ประดับ
เมื่อเถ้าแก่หญิงพูดจบ ชายหนุ่มร่างสูงผู้เป็นเจ้าบ่าวของงานก็ยกมือไหว้ทำความเคารพ และทรุดตัวนั่งลงบนเตียง พลางยื่นมือเข้าไปหลังม่านผืนบางตามคำบอก
ไม่นานนักคนข้างในก็วางมือเล็กเรียวให้สัมผัสนุ่มนวลดุจปุยนุ่นลงทาบทับ เขารับรู้ได้ว่ามือของเธอนั้นอุ่นชื้นชุ่มเหงื่อ ความประหม่าฉายชัดอยู่ในดวงตากลมโตที่ซ่อนอยู่หลังม่านยามเถ้าแก่บอกให้คู่บ่าวสาวจับมือกันเอาไว้
ทั้งสองจึงบีบมือกันและกันแผ่วเบาครั้งหนึ่ง
“ดี!” เถ้าแก่หญิงชื่นชมด้วยความปลื้มปีติ “จากนี้ก็นับว่าออกขุนสุริยนหัสดีกับแม่หญิงชวาลาได้เป็นผัวเมียกันแล้ว หน้าที่ของข้าจบเพียงเท่านี้ ก็ขอให้ท่านขุน แม่วา ครองรักกันจนแก่เฒ่า ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร ให้อภัยแก่กัน มีลูกหลานดีสร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูลสืบไป”
ออกขุนหนุ่มกล่าวขอบคุณ เสียงห้าวลึกเรียบนิ่งไม่บ่งบอกความรู้สึกใด ในขณะที่อีกเสียงซึ่งดังออกมาพร้อมกันนั้นแม้เบาแสนเบาก็ยังกังวานใสจนใครได้ยินก็อดจินตนาการถึงรูปโฉมของเธอไม่ได้ว่าจะงามสักเพียงไหน
หญิงวัยกลางคนเดินนำบรรดาญาติฝ่ายหญิงออกไปพร้อมปิดประตูตามหลัง บัดนี้ห้องจึงเหลือเพียงหนุ่มสาวสองคนและความเงียบ
‘เรียนจากกู ห้ามมีเมีย มึงว่ามึงทำได้ แล้วกูจักคอยดู’
เสียงของอาจารย์ดังซ้ำขึ้นมาในหัวออกขุนหนุ่มราวคนพูดมายืนตบบ่าแล้วยิ้มเยาะให้
เจ้าสาวร่างบางขยับตัว เผลอออกแรงกดลงบนอุ้งมือกร้านเล็กน้อย
ทว่าประกายในตาคู่คมแน่นิ่งไม่หวั่นไหว เขาเพียงวางมือน้อยข้างนั้นลงบนฟูกอย่างระมัดระวัง มองผ่านม่านเข้าไปสบตาอีกฝ่ายอย่างเฉยชาประหนึ่งมองผืนผ้าว่างเปล่าผืนหนึ่ง เธอเองก็มองตอบด้วยสายตาวุ่นวายใจระคนตื่นตัว รีบชักมือกลับทันที
“นอนเถิด” เขาบอก “เดี๋ยวก็เช้า”
ตราบใดที่เขาไม่เห็นว่าเธอแตกต่างจากมนุษย์คนอื่น การมีสตรีในห้องนอนก็ไม่มีผลใด ต่อให้มีสัญญามั่นเป็นคู่ชีวิตก็ยังนับว่าเป็นคำสาบานปากเปล่า หากใจไม่คะนึงหา อวิชชาต้องห้ามก็ยังคงอยู่
ฉะนั้นขุนสุริยนหัสดีจึงไม่อนาทรร้อนใจสักนิดเมื่อต้องล้มตัวนอนโดยมีไออุ่นจากร่างกายใครอีกคนวนเวียนอยู่เคียงข้างเป็นครั้งแรก ไม่เปิดปากพูดคุยอีกแม้ครึ่งคำ ไม่ใส่ใจสีหน้าของเด็กสาวด้วยซ้ำ
แต่กลับกลายเป็นว่าคืนนั้นเขานอนไม่หลับ
ส่วนแม่หญิงชวาลาหลับสนิท ถึงเจ้าตัวจะนอนคุดคู้เบียดข้างฝาดูไม่น่าสบายนัก
เอาเถิด (เอียง)
เขาละสายตาจากแพขนตางามงอนที่แนบอยู่เหนือพวงแก้มนวลกระจ่าง พลิกตัวไปอีกทาง
เดี๋ยวก็เช้า (เอียง)
ความคิดเห็น |
---|