
4
“ตกลงมันมีผีกี่ตัวกันแน่”
นั่นเป็นคำถามเดียวกันกับที่ต้องรักถามตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อมันมาจากน้ำเสียงคาดคั้น โหดเหี้ยม อำมหิตของพรำพรรษ เจ้านายสาว น้ำหนักของเรื่องราวที่เจอมาจึงกดทับจนสาวน้อยแทบทานทนไม่ไหว
“ต้อง...ต้องไม่รู้ค่ะ” ต้องรักก้มหน้าพึมพำแผ่วก่อนจะสะดุ้งกับเสียงตบโต๊ะปัง!
พรำพรรษอารมณ์เสียสุดๆ เกือบหลุดตวาดแหวเข้าใส่แล้ว
ทำงานด้วยกันมาตั้งหลายปี ต้องรู้สิว่าคำว่า ‘ไม่’ ไม่มีอยู่ในสารบบของเธอ
ทุกคนที่ทำงานกับพรำพรรษนั้นต้องรู้ว่าห้ามพูดว่า ไม่รู้ ทำไม่ได้ หรือไม่มีทาง ออกมาเด็ดขาด...ถ้ายังไม่อยากตายต้องไปหาวิธีมาให้ได้ แล้วค่อยมารายงานว่ามีทางเลือกกี่หนทาง ยากง่ายยังไง ต้องหาเหตุผลมาประกอบให้ได้ว่าทำไมการทำงานยากเกินมนุษย์ที่เธอออกคำสั่งนั้นมันไม่ควรทำ
การ ‘ได้ไม่คุ้มเสีย’ เท่านั้นเป็นเหตุผลเดียวที่จะทำให้พรำพรรษยอมรับการปฏิเสธงานจากคนของเธอ นอกนั้นอย่าหวังว่าคนเผด็จการอย่างเธอจะยอมฟัง ยกเว้นครั้งนี้ที่เจ้านายสาวนิ่งไปอย่างใช้ความคิด ไม่ได้รุกไล่ลูกน้องที่ปฏิเสธเธอเหมือนทุกครั้ง มาดนิ่งผิดฟอร์มนั้นทำเอาดนตร์ เลขาฯ สาวชุดดำสุดเซ็กซี่ที่เตรียมตัวจะเข้าไปเบรกอารมณ์นาย ไม่ให้รังแกน้องมากเกินไป ต้องมองเจ้านายตัวเองอย่างประหลาดใจ
เกิดอะไรขึ้นกับนางมารร้าย
บัดนี้เจ้านายสาวอยู่ในชุดเดรสแบรนด์เนมพอดีตัว ผมสลวยทิ้งตัวเคลียไหล่ยาวเลยไปเกือบถึงกลางหลัง ดวงหน้าใสไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางอื่นใด นอกจากครีมบำรุงผิวชั้นดีที่สามีของเธอให้คนไปหามาบำรุงภรรยาให้หน้าใสเด้ง จนดูอ่อนกว่าวัยไปหลายปี
แต่ความอ่อนกว่าวัยอาจเป็นเพราะพรำพรรษยอมสลัดแว่นตาป้าๆ ที่ชอบสวมพรางเอาไว้กับผมมวยทรงคุณยายทิ้งไปก็ได้ รวมถึงชุดสูทหนาเชยๆ ที่เธอซ่อนตัวตนเอาไว้ในนั้นเสียหลายปี มันเป็นเครื่องแบบที่ทำให้พรำพรรษดูเป็นมนุษย์ป้าจอมเหวี่ยง เป็นนางมารตัวร้ายที่เข่นเขี้ยวรังแกลูกน้องอย่างไร้ปรานี
หรือว่า...การเปลี่ยนลุคแล้วจะทำให้นางมารร้ายอารมณ์ดีขึ้นมาจนถึงกับปรานีลูกน้องได้
‘ไม่สิ...’
ดนตร์กวาดตามองไปที่คนสำคัญอีกคนในห้อง หรืออีกนัยคือผู้เป็นเจ้าของห้องเพนต์เฮาส์กว้างใหญ่กินอาณาบริเวณทั้งชั้นบนยอดตึกหรูใจกลางเมืองที่มีมูลค่าสูงที่สุดในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในตอนนี้
ชายหนุ่มเป็นเจ้าของอาณาจักรธุรกิจที่มีมูลค่ารวมกว่าแสนล้านบาทด้วยวัยเพียงสามสิบสองปี เขาใช้เวลาไม่ถึงสิบปีในการบริหารกลุ่มบริษัทในตระกูลที่มีภาวะย่ำแย่ด้วยทรัพย์สินรวมหนี้สินราวพันกว่าล้านให้กลับกลายมาเป็นกลุ่มเงินทุนที่ติดอันดับหนึ่งของประเทศ ติดหนึ่งในสิบของมหาเศรษฐีเอเชีย และติดหนึ่งในร้อยมหาเศรษฐีระดับโลกได้...อย่างไม่ยากเย็นเสียด้วย
อาคเนย์ อรรคนีย์พิทักษ์ เป็นผู้ชายตัวใหญ่ สูงร้อยแปดสิบเก้าเซ็นต์ สวมชุดสูทสั่งตัดพอดีตัวยี่ห้อแพงที่สุด เพอร์เฟกต์สุด ตั้งแต่หัวจดเท้า ท่าทางแพงและเย่อหยิ่ง ดวงหน้าหล่อเหลามีดวงตาเย็นชาแผ่รัศมีคุณชายสูงศักดิ์อันยากที่ใครจะเข้าถึงได้ออกมาตลอดเวลา
เขาคือชายผู้ประกาศตัวเป็นเจ้าของนางมารร้าย และบุกเข้ามาใช้ทุกแผนการร้ายกาจช่วงชิงตัวพรำพรรษจากงานแต่งงานที่พรำพรรษเกือบจะโดนคุณภัสตราภรณ์บังคับคลุมถุงชนให้แต่งงานกับ ภาสกร ประการณานนท์ ลูกชายเธอ เพื่อผูกมัดให้พรำพรรษต้องยอมอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารบริษัทพีเคกรุ๊ป และทำงานแทนภาสกรซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทตัวจริง
แต่การบังคับแต่งงานหนนั้นก็ล่มไม่เป็นท่า เพราะว่าพรำพรรษถูกอาคเนย์ชิงตัวมาจดทะเบียนสมรสด้วยเสียก่อน ทะเบียนสมรสยังสดๆ ร้อนๆ ไม่เกินสองสัปดาห์เลย
หรือ...การแต่งงานกับผู้ชายดีๆ สเปกเทพสักคนนี่จะช่วยเยียวยาจิตใจอำมหิตของเจ้านายสาวให้เบาบางลง...
‘ไม่หรอก’ ดนตร์ส่ายศีรษะให้ตัวเองช้าๆ ความเข้าใจเริ่มปรากฏในดวงตาเมื่อสังเกตเห็นว่า สีหน้าของพรำพรรษไม่ได้มีความปรานีอยู่ในนั้นเลย เจ้านายสาวกวาดตามอง ‘สภาพ’ ของต้องรักก่อนเม้มปาก สีหน้าขัดใจ
สภาพของต้องรัก เลขาฯ สาวน้อยในชุดเดรสวินเทจสีหวานซึ่งยับเยินราวกับผ่านการตกตึกมา...
เอ่อ...ที่จริงมันก็ผ่านการตกตึกมานั่นแหละ!
แถมก่อนหน้านั้นยังโดนผีที่น่ากลัวระดับตำนานตึกร้างสุดหลอนของเมืองหลวงหลอกมาแล้วรอบหนึ่ง จึงยากหน่อยที่จะไม่ให้สาวน้อยผิวสีน้ำผึ้งมีสภาพ...ชวนเวทนาจนนางมารร้ายยังต้องระงับอารมณ์ ยั้งการอาละวาดไว้ ไม่จัดเต็มใส่เหมือนทุกที
ไม่ใช่เพราะความปรานีหรอกนะ แต่พรำพรรษเป็นคนที่รู้จังหวะบีบคั้นผู้คน และรู้ว่าบางคนไม่อาจทนการบีบคั้นรุนแรงได้ไหว หญิงสาวมีจิตวิทยาในการใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งข่มขู่ชาวบ้าน
“ตะ...ต้องเจออีกสองค่ะ แต่ต้องไม่รู้ว่า...ว่าพวกเขาเป็นผีหรือเป็นอะไร ตะ...แต่พวกเขาน่ากลัวมาก คุณพลัมคะ...ระ...เรา...เราหาตึกอื่นกันไม่ได้เหรอคะ” ต้องรักเงยหน้าช้อนตาสีน้ำตาลคลอน้ำตาที่ดูน่ารักน่าสงสารราวเนื้อทรายน้อย น่าเวทนาจนไม่ว่าใครก็ควรใจอ่อน
ยกเว้นไว้แค่...
“ไม่!” พรำพรรษปฏิเสธเสียงเหี้ยมเกรียมจนต้องรักสะอึก
แม้แต่ดนตร์ยังต้องมองหน้าเจ้านายสาวด้วยสายตาสงสัย สีหน้าเอาแต่ใจและคำสั่งเผด็จการนั้นเป็นสิ่งที่เลขาฯ และบรรดาผู้ช่วยคุ้นชินกันมานานแล้ว แต่อาการอารมณ์เสียขนาดนี้นี่...
“ฉันต้องการใช้ตึกนั้นจริงๆ แถมมันยังต้องตกแต่งอีก อย่างเร็วสุดคงอีกเป็นเดือนกว่ามันจะใช้การได้” พรำพรรษบอกเสียงเข้ม พลางกวาดตามองไปรอบบริเวณโถงของห้องรับรองแขกที่มีผู้คนมากมายหลายหมู่คณะปนเปกันอยู่
เห็นเจ้านายสาวมีสีหน้าขัดใจขึ้นทุกที ดนตร์จึงพอจะเข้าใจขึ้นมาได้รำไรถึง ‘ความเร่งด่วน’ ที่ต้องการใช้ตึกหลังนั้นแล้ว
ภายในห้องรับรองแขกของที่พักชั้นเพนต์เฮาส์ของอาคเนย์นั้นนอกจากชายหนุ่มและหญิงสาวสองสามีภรรยาผู้เป็นเจ้าของสถานที่แล้ว ยังมีทีมบอดีการ์ดของอาคเนย์อีกห้าคน ส่วนบอดีการ์ดที่เหลืออยู่ประจำตามจุดอื่นอีกกว่ายี่สิบคน ส่วนคนของพรำพรรษก็มีดนตร์ ปราย และต้องรัก สามเลขาฯ สาว...และไม่สาวกับคนสนิทและทีมงานอื่นอีกสามสี่คนที่เป็นผู้ช่วยวิ่งงานตามคำสั่งประหลาดๆ ของเจ้านายสาว
และที่คล้าย...น่าจะเป็นสิ่งแปลกปลอม แต่ทำตัวกลมกลืนเป็นอย่างยิ่งคือ ทีมงานอีกกว่ายี่สิบสามสิบชีวิตที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าออกสถานที่นี้เป็นว่าเล่น โดยไม่สนใจว่าเจ้าของสถานที่จะเต็มใจหรือไม่ เพราะพวกเขานั้นรับเพียงคำสั่งจากเจ้านายตัวเองเท่านั้น
พวกผู้ชายหน้าโหดที่สวมชุดอันไม่อาจระบุสังกัด หรือแม้แต่อาชีพได้พวกนั้น มีตั้งแต่สวมสูท สวมเชิ้ต ผูกเนกไทอย่างดีเหมือนหนุ่มออฟฟิศทั่วไปไปจนคนในชุดเสื้อยืดกับกางเกงยีนสีตุ่นๆ และถึงกับมีคนในชุดเก่าขาดราวกับไปหลงในดงจิ๊กโก๋หน้าปากซอยไหนที่ดุๆ สักซอยหนึ่งแล้วรอดฝ่าเท้าเหล่านั้นออกมาได้
คนพวกนี้เป็นคนของอัคนีและน้อยหน่า พี่ชายและพี่สะใภ้ของอาคเนย์ซึ่งพากันมาปักหลักกันที่นี่เกือบครบสัปดาห์แล้ว
ถ้าบอกว่าอาคเนย์เป็นผู้ชายที่แผ่ไอสูงส่งราวตัวละครคุณชายจากนิยายแนวเวียงวังเรื่องไหนสักเรื่องหนึ่งแล้วละก็...พี่ชายของเขานั้นก็เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
อัคนีสวมชุดเสื้อยืดดำสนิทกับกางเกงยีนตลอดกาล ชายหนุ่มมีผิวคล้ามเข้มแบบคนที่ทำงานกลางแจ้งโดนแดดแผดเผาอยู่เสมอ เขาสูงพอๆ กับอาคเนย์ แต่บุคลิกเป็นกันเอง เข้าถึงได้ง่ายกว่า ชนิดที่น่าจะปะปนเข้าไปกลมกลืนกับกลุ่มจิ๊กโก๋ หรือพี่วินปากซอยไหนก็ได้โดยไม่มีใครผิดสังเกต
ช่างต่างกันอย่างไม่น่าเชื่อว่าเป็นพี่น้องกันได้ นอกจากเอามายืนคู่กันแล้วสังเกตที่ใบหน้าของพวกเขาจึงจะพบว่ามีความคล้ายคลึงกันอยู่เกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์ นอกนั้นนะ…
พรำพรรษถึงกับเคยถึงขั้นออกปากถามว่าคุณอกนิษฐ์แม่ของพวกเขาทั้งคู่หยิบอัคนีผิด สลับตัวเอาลูกใครกลับมาจากโรงพยาบาลหรือเปล่า
นอกจากบุคลิกและการวางตัวจะต่างกับอาคเนย์ราวฟ้ากับเหวแล้ว สิ่งที่สุดแสนจะไม่เข้าคู่กันอีกอย่างของอัคนีคือ ณัฐนาราหรือน้อยหน่า ภรรยาผู้มีดวงหน้าสวยจัด ร่างระหงสูงโปร่ง ดูทั้งบอบบาง ทั้งแข็งแรงแบบนักกีฬา หญิงสาวสวมในชุดแบรนด์เนมสุดหรูที่ยิ่งเสริมบุคลิกสูงส่ง สง่างามสมวงศ์ตระกูลที่มีคุณพ่อเป็นท่านนายพลและคุณแม่มีเชื้อสายตระกูลขุนนางเก่าสืบทอดมายาวนาน ทำให้ผู้หญิงคนนี้ทั้งสวยสง่ามารยาทดี จนไม่น่าจะมาอยู่ร่วมกันกับผู้ชายแบบอัคนีได้เลย...
อัคนีกับลูกน้องท่าทางกวนประสาทไม่แพ้เจ้านายอีกเกินสองโหลพวกนั้นน่ะ
ซึ่งพอทั้งหมดพากันยัดตัวเองเข้ามาในเพนต์เฮาส์หรูหราสไตล์โมเดิร์น เพดานสูงเป็นสิบเมตร ผนังด้านหนึ่งกรุกระจกมหึมาตลอดแนวผนัง เผยให้เห็นท้องฟ้ากว้างและด้านล่างคือ ทิวทัศน์กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาของเมืองหลวง เป็นท็อปวิวในจุดที่ดีที่สุดจากตึกที่สูงที่สุดในตอนนี้ ห้องโถงโปร่งมีดีไซน์ทันสมัยโดยไม่แบ่งพื้นที่ออกจากกัน ทำให้มีห้องรับแขกและห้องประชุมอยู่รวมกัน ซึ่งมุมหนึ่งนั้นถูกทีมของอัคนีและน้อยหน่ายึดครองจนแปรสภาพไปกลายเป็นห้องทำงานที่วุ่นวายด้วยผู้คนแปลกๆ เต็มไปหมด และทำให้ห้องกว้างใหญ่นั้นคับแคบลงไปถนัดตา
ช่างตรงข้ามกับฝั่งของอาคเนย์ที่มีเพียงบอดีการ์ดในชุดสูทเนี้ยบเรียบกริบ พอๆ กับบุคลิกเจ้านายหนุ่มหล่อที่นั่งหน้าหงิกหน้างอไม่พอใจอยู่มุมหนึ่ง
อาคเนย์เอางานมานั่งทำอยู่เงียบๆ ระหว่างที่รอนางมารร้ายจัดการกับลูกน้องของเธอ ตัวเขาเองก็แผ่รังสีอำมหิตกดดันออกมา จนพวกลูกน้องของเขาและบรรดาบอดีการ์ดส่วนตัวพากันถอนตัวขอไปเฝ้าอยู่รอบนอกกันหมด ที่เหลือที่ยังติดหน้าที่หนีไปไหนไม่ได้ ก็ได้แต่เฝ้ามองนาฬิกาทุกๆ สามนาทีเหมือนหวังอยากให้คืนนี้สิ้นสุดลงเสียที…
ขอให้คืนนี้สิ้นสุดลงเสียทีเถอะ!
ดนตร์ก็คิดไม่ต่างจากพวกเขาหรอก เมื่อหันไปมองสภาพอิดโรยของต้องรัก เลขาฯ สาวที่ถูกพรำพรรษตบไหล่เบาๆ ก่อนเจรจาด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
“แกต้องเข้าไปในตึกนั้นอีกรอบหนึ่ง คราวนี้ไม่ว่ามีผีสักกี่ตัวก็ต้องไปเคลียร์พวกมันออกไปให้หมด” พรำพรรษปลอบโยน (?) ต้องรักพลางใช้ปลายนิ้วกรีดน้ำตาที่เอ่อท้นเพราะความสะเทือนใจของเลขาฯ สาว
“ไม่ต้องห่วง คราวนี้ฉันจะให้คนคุ้มกันไปเป็นเพื่อนแกเป็นโหลเลย แกไม่โดนผีหลอกคนเดียวแน่”
คำรับรองอันหนักแน่นนั้นทำเอาบรรดาบอดีการ์ดของอาคเนย์ที่อยู่ไม่ไกลเกินระยะได้ยินถึงกับสะดุ้ง หันมองมาด้วยสีหน้าสยองขวัญอย่างพร้อมเพรียง
พวกเขาน่าจะจับได้ถึงความหมายของคำว่า ‘คนคุ้มกัน’ ที่พรำพรรษใช้ล่อหลอกต้องรัก ว่าต้องไม่พ้นพวกเขาเป็นแน่ การจะให้ทำงานคุ้มกันน่ะไม่เท่าไรหรอก เพราะต่างเป็นผู้ชายตัวมหึมาล่ำบึ้กที่ฝึกหลักสูตรการต่อสู้และการคุ้มกันบุคคลสำคัญกันมานักต่อนักแล้ว การคุ้มกันผู้หญิงตัวเล็กๆ เพียงคนเดียวนั้นไม่มากเกินความสามารถและประสบการณ์ของพวกเขาแน่
แต่...ประเด็นสำคัญที่ทำให้ผู้ชายมาดแมนทั้งฝูงถึงกับผวาหน้าถอดสีคือ...การคุ้มกันคนเห็นผี...ที่เพิ่งโดนผีถีบ...เอ่อ...ผลักตกตึกมาสดๆ ร้อนๆ ให้ไปเจรจากับผีในตึกร้างนั้นอีกรอบหนึ่งเนี่ยนะ!?
พวกเขาเคยเห็นแต่หลักสูตรเจรจาต่อรองในภาวะวิกฤติ ซึ่งมีสอนเรื่องการเจรจาต่อรองกรณีคนร้ายจับตัวประกัน แต่...แต่นี่จะให้ไปเจรจาต่อรองกับผี!?
มีที่ไหนให้ลงคอร์สเรียนงั้นหรือครับนาย?
เมื่อหันไปหา ‘เจ้านาย’ เหมือนจะขอความเห็นใจ อาคเนย์ที่นั่งก้มหน้าอยู่กับจอโน้ตบุ๊กก็เงยหน้าขึ้นจากกระดานหุ้นแนสแด็กที่กำลังเดือด มาส่งสายตาพิฆาตใส่บรรดาลูกน้องตัวเอง
เหมือนเป็นความหมายว่า...ลองมีใครกล้าขัดคำสั่งงานที่พรำพรรษมอบหมายดูสิ!
เฮ้อ...น่ากลัวกว่าผีก็พวกพี่สองคนนี่แหละ
‘ผัวเมียคู่นี้นี่...แท็กทีมกันโหดได้อีกเนาะ’ ดนตร์คิดพลางส่ายหน้าระอาใจเบาๆ ขณะตัดสินใจเข้าไปเบรกพรำพรรษไว้
“จะเจรจากันยังไงก็รอพรุ่งนี้ก่อนดีไหมคะ คืนนี้น่าจะไม่ไหวแล้ว ปล่อยต้องรักมันกลับบ้านไปก่อนเถอะค่ะ” ดนตร์ลงทุนกล่อมเจ้านายสาวด้วยเสียงนุ่มทุ้มอันเป็นเอกลักษณ์
พรำพรรษทำปากเบ้สีหน้าขัดใจ แต่ก็ยอมถอยห่างออกมาจากระยะคุกคามต้องรักที่แทบตัวสั่นด้วยความโล่งใจ
“เออๆ ก็ได้ กลับไปนอนพักผ่อนซะก่อนไป เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาคุยเรื่องแผนการกันอีกที” พรำพรรษยอมประนีประนอมในที่สุด
“ไป...ยายต้อง เก็บของ เดี๋ยวฉันไปส่งแกเอง” ดนตร์หยิบกระเป๋ามาสะพายไหล่พร้อมกับรุนหลังเลขาฯ สาวรุ่นน้องให้ลุกออกมาห่างจากรังสีพิฆาตของเจ้านายสาว ที่ยังมองค้อนตาคว่ำ แต่ก็ยังยอมปล่อยตัวลูกน้อง เพราะดูเวลาแล้วก็เกินไปจริงๆ
“ดึกแล้ว...เดี๋ยวฉันให้คนของคุณอาร์คไปส่งให้ก็ได้” พรำพรรษพูดขึ้นหลังจากทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้รู้สึกรู้สาเลยว่าบรรดา ‘คนของคุณอาร์ค’ พวกนั้นจะหน้าถอดสีพร้อมถอยกรูดกันยกใหญ่
ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้รังเกียจต้องรักเลยสักนิด แต่จากการทำงานร่วมกันในหลายวันที่ผ่านมาทำให้รับรู้ว่า ต้องรัก...สัมผัสได้ในสิ่งที่คนทั่วไปไม่อาจรู้เห็น เออ...พูดง่ายๆ ก็เห็นผีนั่นแหละ ดังนั้นการที่ต้องพาคนเห็นผีนั่งรถไปด้วยกันตอนกลางคืนในโลเกชันที่ไม่คุ้นเคย ใครล่ะจะการันตีได้ว่าต้องรักจะไม่เห็นอะไรแปลกๆ ให้พวกเขาขนหัวลุก
“ให้ไปส่งหรือให้ไปคุม?” ดนตร์ถามด้วยสีหน้ารู้ทันว่านางมารร้ายต้องทำทุกวิถีทางไม่ให้เหยื่อ...เอ่อ...หมายถึง...ต้องรักซึ่งเป็นตัวหลัก มีหน้าที่สำคัญในภารกิจหนักวันพรุ่งนี้หนีไปได้
พรำพรรษตวัดตาค้อนใส่เลขาฯ สาวสองของตัวเองที่แสนรู้ไปหมด บางทีการมีคนรู้ทันกันอยู่ข้างตัวก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป
“แกเองก็เถอะ ไปส่งจริงๆ นะอย่าได้ทำมันหายเลยเชียว พรุ่งนี้ฉันต้องมีคนทำงานให้สำเร็จให้ได้นะ เข้าใจไหม” พรำพรรษเองก็พลอยดักทางลูกน้องที่ไม่ค่อยจะเคยเชื่อฟังกันเท่าไร
ดนตร์เป็นเลขาฯ และยังเป็นเป็นทนายสุดเขี้ยวประจำตัวเธอ ที่นอกจากเป็นผู้ดูแลเรื่องกฎหมายแล้ว งานอื่นนอกเหนือจากขอบเขตของตัวเองดนตร์ก็ทำได้เป็นอย่างดี นับว่าเป็นบุคลากรผู้ทรงประสิทธิภาพรอบด้านที่หาตัวจับยากนัก แต่ดนตร์ก็เป็นตัวของตัวเองพอที่จะปฏิเสธบางคำสั่งที่เธอคิดว่าไม่สมเหตุสมผลโดยไม่สนใจว่าพรำพรรษจะปรี๊ดแตกทีหลังแค่ไหน
ก็แน่สิ ลองเป็นคนที่ทั้งทำงานเก่ง ทั้งเป็นลูกชายของท่าน ผบ.ตร. กับทั้งไม่มีปัญหาเรื่องเงินจนต้องอ่อนยอมงอนง้อเจ้านายแบบทนายสาว ไม่ว่าใครก็ต้องเริดๆ เชิดๆ ทั้งนั้นแหละ
ถ้ายังอยากได้ความมีประสิทธิภาพกับเส้นสายเล็กๆ น้อยๆ ที่เอาไว้ข่มขู่คนอื่นไว้ใช้งาน พรำพรรษก็จำเป็นต้องหยวนๆ ให้ดนตร์เป็นพิเศษแบบนี้แหละ
“เออน่ะ ไม่ให้เสียงานหรอก บ้านดนตร์ไปทางเดียวกัน เลยไปส่งมันนิดเดียวเอง” ดนตร์รับปาก
“อีกอย่างดึกๆ แบบนี้...แถวบ้านไอ้ต้องมันน่ากลัวอยู่นะ” ท้ายประโยคนั้นไม่ได้บอกพรำพรรษแล้ว แต่ปรายสายตาไปยังบรรดาบอดีการ์ดของอาคเนย์ที่พากันหลบตาเหมือนไม่อยากมีตัวตนให้นางมารร้ายใช้งานให้ไปส่งต้องรักตามแผนแรกที่เธอวางไว้
เจอไม้นี้เข้าไปทำเอาพรำพรรษค้อนตาคว่ำ ขมุบขมิบปากพึมพำคล้ายเป็นคำด่า แต่ก็ไม่ได้เหนี่ยวรั้งอะไรไว้อีก นอกจากหยอดเหยื่อล่อหลอกลูกน้องสาวอีกระลอก
“น่า...ไว้เสร็จงานครั้งนี้แล้วฉันจะให้แกหยุดยาว ไปที่ไหนก็ได้พร้อมพ็อกเกตมันนีไม่อั้นเลย” พรำพรรษหลอก...เอ๊ย! บอกลูกน้องเสียงนุ่ม แต่ได้รับสายตาตัดพ้อจากเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลที่เหลือบมองมา
“ได้หยุด...แบบ...แบบคราวที่แล้วน่ะเหรอคะ” ต้องรักถามเสียงขมขื่นก่อนสะดุ้ง ก้มหน้างุดเมื่อได้รับสายตาตวัดมองค้อนจากเจ้านายสาว
“ทำไม ก็มันมีเรื่องเร่งด่วนฉันเลยจำเป็นต้องเรียกตัวแกกลับมาแค่นี้ มีปัญหาหรือไง” พรำพรรษตวัดเสียงเหวี่ยงใส่
“ไอ้ต้องก็ต้องการการพักผ่อนอย่างเร่งด่วนเหมือนกัน ให้มันกลับไปนอนก่อนพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” ดนตร์เข้ามาไกล่เกลี่ย พร้อมดึงตัวต้องรักออกห่างเจ้านายที่เริ่มพาลใส่อย่างไร้เหตุผลมากขึ้นทุกที
...ยิ่งดึกดูเหมือนจะยิ่งร้ายนะยะหล่อน
สองเลขาฯ ทั้งสาวและไม่สาวของพรำพรรษพากันเดินออกมาจากที่พักของเจ้านาย คนหนึ่งร่างระหงสูงโปร่งในชุดดำสุดเซ็กซี่ อีกคนตัวเล็กสูงไม่ถึงไหล่ของอีกฝ่าย ร่างเล็กสวมชุดเดรสสีหวานที่ตอนนี้ทั้งมอมแมม ทั้งยับย่นจากการถูกโยนลงจากตึก
ต้องรักยังคงปาดน้ำตาป้อยๆ สูดจมูกแดงเบาๆ ดูบอบบางน่าสงสาร…น่า...รังแกที่สุด!
แต่ก็ต้องอดใจไว้...ดนตร์จำต้องเก็บอารมณ์มันเขี้ยวและความซาดิสม์ส่วนตัวไว้ ไม่งั้นคงกระทบเรื่องงานแหงๆ เพราะถ้าเธอพลอยรังแกต้องรักด้วยอีกคนหนึ่ง...สาวน้อยคงทนทานรับการกลั่นแกล้งรังแกในที่ทำงานไม่ไหวแน่
ดังนั้นเมื่อพรำพรรษยึดตำแหน่ง ‘Bad cops’ ไปแล้วดนตร์ก็จำต้องรับบทเป็น ‘Good cops’ ไปโดยปริยาย คอยปลอบโยนเพื่อนร่วมงานประคับประคองจิตใจมันเอาไว้ ไม่ให้มันจิตหลุดเกินจะทำงานให้พรำพรรษได้
มือใหญ่แต่เรียวสวยแถมด้วยการทำเล็บอย่างดีจากสปาเล็บราคาแพงจึงตบลงบนศีรษะเลขาฯ สาวรุ่นน้องเบาๆ พลางปลอบขวัญไปด้วย
“อดทนไว้ ฉันว่าผ่านงานนี้ไปได้ ก็น่าจะไม่มาหนักที่แกแล้วแหละ”...คิดว่านะ
“งือ...ทำไมเขาเป็นคนแบบนี้วะดนตร์ คราวนี้หนักเลยนะ ทุกทีเขายังยอมฟังนะ ถ้ามันน่ากลัวเกินไปเขายังยอมถอย คราวนี้เขาเป็นอะไรไปอะ” ต้องรักคร่ำครวญปรับทุกข์ระหว่างรอลิฟต์เพื่อพากันออกจากชั้นเพนต์เฮาส์ ที่พักของอาคเนย์ลงไปยังชั้นลานจอดรถ
“อืม...แกจะ...เอาความจริงหรือคำปลอบใจดีล่ะ” ดนตร์ถามน้ำเสียงเห็นใจ แต่! ไม่รู้ทำไมนัยน์ตาถึงเต้นระริกด้วยรอยสนุกสนานขนาดนั้น เลขาฯ สาวเซ็กซี่โอบไหล่ต้องรักไว้หลวมๆ ขณะบอก
“แกก็ลองคิดดูละกัน...สมมุติเป็นตัวแกเอง...มีชีวิตแย่ๆ เหี่ยวเฉาขาดของมาตั้งยี่สิบเก้าปี อีกไม่กี่เดือนก็จะเอกซ์ปาย หมดช่วงโพรโมชันของสาววัยยี่สิบแล้ว จู่ๆ แกก็ได้ของ...เออ...หมายถึง เจอผู้ชายสเปกเทพ สูงร้อยแปดสิบเก้าเซ็นต์ สวมสูทคิตอน รองเท้าเฟอร์รากาโม และออปชันที่ทำให้ลุคแพงสุดในตลาดตอนนี้ แถมหน้าตาเขายังดีพอจะไปขึ้นปกแมกาซีนได้สบายๆ ด้วยซ้ำไป อยู่ๆ ผู้ชายคนนั้นก็หล่นปุมาตรงหน้าแก แกจะไม่อยากใช้ช่วงเวลาข้าวใหม่ปลามันอยู่กับผู้ชายสเปกเทพของแกให้หนำใจเลยเหรอไง”
ต้องรักกลอกตาคิดตาม...แม้จะเริ่มรู้อยู่รำไรแล้วว่าดนตร์กำลังยกตัวอย่างพาดพิงถึงชีวิตของพรำพรรษและสามีหมาดๆ ของเธออย่างอาคเนย์แต่...พอได้ยินถึงคำว่า ‘ผู้ชายสเปกเทพที่หล่นปุลงมาตรงหน้า’ ไม่รู้ทำไม...ดวงตาสีอำพันที่ทอประกายวาววามคู่นั้นพลันกระจ่างขึ้นมาในความทรงจำเธอจนต้องนิ่งอึ้งไปชั่วพัก
ดนตร์เห็นคู่สนทนานิ่งไปก็ถอนใจนิดๆ แต่ไม่ได้หยุดรอให้ต้องรักคิดตามจนทันหรอก เลขาฯ สาวสองของพรำพรรษพูดความคิดตัวเองต่อไป
“นั่นแหละ...แล้วช่วงเวลาที่ควรได้ฮันนีมูนสวีตกับสามีดันมีแก๊งของพี่ชายสามีกับพี่สะใภ้ยกพวกมารบกวนถึงในบ้านแบบนี้ แกคิดว่าคุณพลัมจะอยากเก็บพวกเขาไว้ไหมล่ะ”
“นะ...นี่...นี่แกกำลังจะบอกว่า...” ต้องรักตะกุกตะกักคำถามด้วยเสียงสะเทือนใจ
ดนตร์พยักหน้ารับ พยายามทำหน้านิ่ง ทั้งที่นัยน์ตาเต้นระริกรอยสนุกขำขัน ต้องรักเป็นคนน่ารัก น่าสงสาร และน่าแกล้งที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมา หญิงสาวเป็นคนบุคลิกนุ่มนิ่มที่กระตุ้นต่อมความเอสของเธอให้ทำงานจนต้องคอยระงับอกระงับใจอยู่ตลอด
“แค่...อยากอยู่กับผ...อยากอยู่กับสามีตามลำพังนี่...คุณพลัมถึงกับต้องทำแบบนี้เลยเรอะ” ต้องรักถามด้วยน้ำเสียงสะเทือนใจ
ดนตร์ปั้นสีหน้าเห็นใจ...หวังว่าสีหน้าของเธอจะแสดงความเห็นใจมากพอ...ขณะตบไหล่สาวน้อยปุๆ
ความคิดเห็น |
---|