
บทที่ ๓
เคลือบแคลง
“เดี๋ยว! ประเดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ”
พอเห็นทหารนายหนึ่งรับคำสั่งหยิบตรวนเหล็กหนาหนักออกมาจากย่าม ชวาลาก็พลันแข้งขามีแรง รีบปีนออกมานอกเกวียนแล้วทรุดนั่งคุกเข่ายกมือไหว้ทันที ชี้แจงต่อทุกคนในที่นั้นรัวเร็วไม่หยุดหายใจแม้เสียงสั่นเครือ
“ฉันชื่อชวาลา เป็นลูกสาวพระยารัตนาธิปกกับคุณหญิงดวงมาลย์ แอบขึ้นเกวียนหลังนี้มา ตั้งใจไปพบสหายที่ชุมทางบ้านเกาะขาด มิรู้จริงๆ ว่าเกวียนจักออกนอกเส้นทาง มิรู้ว่ามีความผิดอันใด คิดว่าเป็นพ่อค้านำแป้งหอมไปขายพิษณุโลก ยกโทษให้ฉันด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
ชายทั้งสามสบตากันเป็นเชิงหารือ แม่หญิงผู้นี้กลัวแต่ยังพูดจาฉะฉาน อ้างตนว่าเป็นบุตรสาวพระยาได้ไม่สับสน เป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็สุดรู้ แต่จะให้เชื่อนั้นยากนัก เพราะลูกสาวชาวบ้านก็อาจมีหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราเช่นนี้ได้ ผิวสีอ่อนนุ่มนวลนั่นตอนนี้ก็ไม่ได้ดูงามผุดผาดสักเท่าไร การแต่งกายยิ่งไม่ต้องพูดถึง
แล้วยังมีรอยช้ำวงใหญ่บนแก้มนั่นอีก
ชวาลาเองก็รู้ตัวว่าพูดปากเปล่าไปคงไม่มีใครเชื่อ จึงกลั้นใจหยิบปิ่นปักผมทองคำประดับเพชร เครื่องประดับไม่กี่ชิ้นที่เหลืออยู่ออกมาให้ดู การแสดงให้คนแปลกหน้ารู้ว่าพกของมีค่าติดตัวนับเป็นเรื่องโง่เง่ามาก แต่เธอไม่มีทางเลือก หากไม่ทำก็กลายเป็นคนโกหก ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าจะรักษาชีวิตไว้ได้หรือไม่
โชคยังพอเข้าข้างอยู่บ้างที่พวกเขาเป็นทหารจริงๆ ไม่ใช่โจรป่า เพราะเมื่อเห็นปิ่นปักผมแล้ว นัยน์ตาก็ไร้ร่องรอยอยากละโมบช่วงชิง มีเพียงความหนักใจเท่านั้น
แต่เว้นไว้เสียคนหนึ่ง เป็นท่านขุนคนเดียวที่เฉยชาดุจศิลาไร้อารมณ์
“แล้วไยจึงต้องแอบขึ้นเกวียนผู้อื่นเล่า แม่หญิง”
ชายหนุ่มถามตรงประเด็น ชวาลานึกว่าเธอบอกไปแล้วว่าตั้งใจจะไปหาสหายที่บ้านเกาะขาด แต่พอทบทวนดูก็พบว่าที่เขาถามเพราะนั่นไม่ใช่คำตอบที่อธิบายอะไรได้เลย นอกจากทำให้เธอน่าสงสัยมากขึ้น เด็กสาวจึงพูดตะกุกตะกัก เพราะคิดหนักว่าสมควรเล่าเรื่องในเรือนให้เขาฟังละเอียดแค่ไหน
“ฉัน...ต้องการไปพบคุณลุงที่พิษณุโลกโดยมิได้บอกที่บ้าน จึงต้องแอบขึ้นเกวียนผู้อื่นเจ้าค่ะ”
เขาพยักหน้า รับฟังแต่ไม่ให้น้ำหนักถ้อยคำแม้แต่น้อย จู่ๆ ก็หันหลังเดินไปทางอื่น ส่วนคนใต้บังคับบัญชาเป็นอันรู้กันว่าจบการสอบสวนเพียงเท่านี้ และคำสั่งเดิมไม่ได้ถูกยกเลิก
ชวาลาอ้าปากค้าง ชัดเจนว่าเขาไม่ได้ต้องการคำอธิบายใดๆ จากเธออยู่แล้วตั้งแต่แรก!
“นี่มันเรื่องกระไรกันเจ้าคะ” เธอทำใจดีสู้เสือถามขณะถูกมัดมือ ไม่ดิ้นหนีให้ไร้ประโยชน์ “ฉันมิรู้จริงๆ ว่าเกวียนหลังนี้บรรทุกของต้องห้าม ถึงกระนั้นไยต้องทำขนาดนี้ด้วย”
ไม่มีคำตอบ
นายทหารที่ดูมีอายุปฏิบัติต่อเธอดีทีเดียว แต่อย่างไรก็ลดความปวดร้าวจากน้ำหนักของตรวนเหล็กที่กดลงบนบ่าไม่ได้ อีกทั้งสัมผัสของมันยังสาก พอขยับเพียงนิดก็บาดผิวบางๆ ของเด็กสาวจนเลือดซึม พวกเขายังใส่ตรวนที่ข้อเท้าทั้งสองข้างแล้วจับเธอล่ามเข้ากับพ่อค้าเกวียนอีกสองคนที่ใส่ตรวนแบบเดียวกัน ชวาลาได้รับความเสมอภาคเช่นนี้ก็ยืดอกรับ ไม่คิดใช้ความเป็นหญิงของตนร้องขอความเห็นใจ
ท่านขุนร่างสูงก้มลงดีดนิ้วเบาๆ ตรงหน้าพ่อค้าทั้งสองครั้งหนึ่ง พวกเขาก็ลืมตาขึ้นมา ตาลีตาเหลือกอ้อนวอนขอชีวิต ร่ำไห้หวาดผวาแทบเสียสติ
“กระผมแค่ทำตามคำสั่ง นายท่านได้โปรดให้อภัยด้วย ละเว้นกระผมด้วย ลูกกระผม...ยังเล็กนัก ได้โปรด ได้โปรด!”
ชายหนุ่มเพียงใช้นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องดูคนพูดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นพ่อค้าก็คล้ายสำลักน้ำหายใจไม่ออก เปล่งเสียงไม่ได้ไปเสียเฉยๆ ได้แต่ทำปากพะงาบๆ เหมือนปลาตาโปนหน้าแดงคล้ำ ไม่ตาย แต่พูดไม่ได้
เพื่อนร่วมทางของมันกรีดร้องออกมาคำหนึ่งก็รีบหุบปากทั้งน้ำตานองหน้า ส่วนชวาลาประหวั่นพรั่นพรึงกับอาคมที่เพิ่งเคยเห็นกับตาครั้งแรกจนเข่าอ่อน ดวงหน้างามซีดเผือดน่าสงสาร
คนผู้นี้ฆ่าคนได้เพียงกระดิกนิ้ว แค่จะทำหรือไม่เท่านั้น!
พวกทหารขึ้นหลังม้าออกเดินทางต่อ พ่อค้าสองคนกับชวาลาถูกล่ามให้เดินลากเกวียนไปพร้อมกับควายสองตัว เด็กสาวกัดฟันแบกน้ำหนักตรวน ทุกย่างก้าวถูกหนามไผ่ทิ่มเท้าเปลือยเปล่าจนเจ็บระบม กระดูกและข้อปวดร้าวดุจจะแตกออกเป็นเสี่ยง ไม่ว่าเดินเท่าไรหนทางมืดมิดนี้ก็ไม่สิ้นสุดเสียที
ไม่คิดเลยว่าเรื่องราวจะเลยเถิดถึงเพียงนี้ ชวาลาเบนความสนใจจากความเจ็บปวดด้วยการขบคิดปัญหาต่างๆ ไปตลอดทาง แต่สุดท้ายกลับทุกข์หนักกว่าเดิมเมื่อคิดไปถึงเด็กๆ คิดถึงสายหยุด คิดถึงละออ
เจ็บเหลือเกิน ล้าแทบยืนไม่ไหว เธออนุญาตให้ตัวเองร้องไห้ได้ แต่ตายไม่ได้
เพราะคนที่มีห่วงมากมายเช่นเธอ ไม่อาจตายได้...
จนกระทั่งแสงอรุณเริ่มแต้มขอบฟ้าเป็นสีทอง รายรอบเริ่มมีเสียงสรรพสัตว์ออกหากินแทนที่เสียงสายลมหวีดหวิว คณะเดินทางก็ออกจากอาณาเขตป่าไผ่ ชวาลากะพริบตาหลายครั้ง ภาพตรงหน้าก็ยังคงพร่าเลือนเห็นไม่ถนัด พื้นดินโคลงเคลงเหยียบไม่มั่นคง เธอสับสนวันและคืน ในหัวขาวโพลนคิดอะไรไม่ออก
ผ่านมาแล้วกี่วัน ความหิวเป็นเช่นไร ความเหนื่อยเป็นเช่นไร ตอนนี้เธอบอกไม่ได้แล้ว
จากนั้นเด็กสาวก็ล้มลงหมดสติไป
เสียงตรวนกระทบกันดังมากพอให้ทุกคนหยุดเดินแล้วหันมาตามเสียง จากหลังม้ามองเห็นร่างกายของชวาลาเทียบกับตรวนเหล็กดูบอบบางอิดโรย ยามต้องแสงตะวันดูเหมือนใบไม้แห้งใบหนึ่งร่วงหล่นบนพื้นดินเท่านั้น คนมองก็ตระหนักได้ว่าที่ผ่านมาหนักหนาสาหัสเกินไปสำหรับแม่หญิงผู้นี้แล้วจริงๆ
“ไปปลดตรวนออก” ออกขุนหนุ่มบอกเรียบๆ
นายทหารอ่อนวัยสุดท่าทางปราดเปรียวกระโดดลงจากหลังม้าไปทำตามคำสั่งทันที ตรวนเหล็กทิ้งรอยมากมายไว้บนผิวเนื้อเป็นสีแดงจ้ำ ยิ่งสว่างยิ่งชัด ร่างบางนอนแน่นิ่ง มีเพียงลมหายใจแผ่วเบาเท่านั้นที่บ่งบอกว่ายังมีชีวิตอยู่
“ท่านขุน แล้วหากแม่หญิงเป็นบุตรสาวของพระยาผู้นั้นจริง...” นายทหารข้างตัวเกริ่นถาม
ชายหนุ่มแววตาไม่แปรเปลี่ยน “ก็ยังนับว่าเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้อยู่ดี มิจำเป็นต้องปฏิบัติต่อนางแตกต่างจากผู้อื่น”
“แต่ว่าท่านขุนจักให้ทำเยี่ยงไรดีเล่าขอรับ” คนที่พยุงชวาลาอยู่เริ่มเกาหัวแกรกๆ “ในเกวียนเห็นทีจักนอนมิได้นะขอรับ”
เป็นความจริง เพราะขามาชวาลายังต้องนั่งคุดคู้แทบแย่ ของกลางในเกวียนต้องรักษาให้อยู่ในสภาพเดิมมากที่สุด จะนอนทับหรือเททิ้งบางส่วนนั้นไม่ได้ ส่วนพวกเขาก็เดินทางมาด้วยม้าแค่สองตัวเพื่อความคล่องแคล่ว ซ่อนตัวได้ง่าย หนทางก็ไม่ได้เรียบพอที่จะทำเปลลากคนสลบไปบนพื้น
ทุกคนต่างมีคำตอบที่ตรงกันอยู่ในใจ เพียงแต่ผู้มีอำนาจสูงสุดในที่นี้กลับไม่ยอมเอ่ยออกมา นายทหารอาวุโสผู้ร่วมเป็นร่วมตายกับออกขุนหนุ่มมาหลายปีขมวดคิ้วอ่อนใจ รู้ดีกว่าใครว่าเขาไม่แตะต้องผู้หญิง
ถึงจะไม่แน่ใจว่าเหตุใดจึงไม่สนใจหรือไม่ชอบตรงไหน แต่อย่างไรเจ้านายย่อมไม่ยอมให้เด็กสาวขึ้นม้าไปกับตัวเองเป็นแน่ นี่ก็คงพยายามหาทางอื่นอยู่ ต้องสังเกตดีๆ และรู้จักกันมานานพอถึงเห็นว่าเวลาชายหนุ่มใช้ความคิดสีหน้าจะเคร่งขรึมขึ้นนิดหนึ่ง เหมือนตอนนี้ แต่ก็แค่นิดเดียวเท่านั้นจริงๆ
“อ่า...หรือท่านขุนจักให้อ้ายมิ่งย้ายไปนั่งกับ...”
“มิต้อง” เขาตัดบทเหมือนตัดสินใจได้ “ให้แม่หญิงมาอยู่กับข้า จักได้ไปต่อกันเสียที”
นายมิ่งยังเป็นคนหนุ่มกล้าบ้าบิ่น นอกจากจะหลิ่วตาล้อเลียนหัวหน้าจนถูกนายทหารรุ่นพี่เอ็ดเข้าให้ทีหนึ่งแล้ว ตอนอุ้มชวาลามาส่งขึ้นม้าก็ยังไม่วายอมยิ้มไม่กลัวตาย
“เบาๆ นะขอรับ จับตรงนี้เบาๆ” มีการหวังดีซักซ้อมท่าให้อีกด้วย
“อ้ายมิ่ง! มึงจักยุ่งกระไรนักหนา รีบไปเก็บตรวนให้เรียบร้อยเข้า”
“โธ่ พี่ยง ก็ท่านขุนเขามิเคยจับผู้หญิง ข้าก็กลัวจักจับผิดจับถูก”
คนพูดได้รับสายตาเย็นเยียบเป็นการขอบคุณเข้าก็ขนหัวลุก ทำเป็นหันซ้ายหันขวายกใหญ่
“ไหว้ขอรับ! เท่านี้ละขอรับ ประเดี๋ยวกระผมไปดูอ้ายสองคนที่เหลือก่อน”
ออกขุนหนุ่มถอนหายใจ ลูกน้องโตเป็นควายแล้วยังวุ่นวายไม่สุขุมก็เรื่องหนึ่ง เดินทางล่าช้าก็เรื่องหนึ่ง ส่วนร่างบอบบางเนื้อตัวอ่อนปวกเปียกที่นอนซบอยู่ในอ้อมอกนี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง
น้ำหนักตัวของเด็กสาวที่พิงลงมานั้นเบาหวิวแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง แต่ผิวกายนุ่มลื่นดุจผ้าแพรเนื้อดีอุ่นชื้นมีเลือดเนื้อซึ่งแนบชิดกันอยู่นั้นให้สัมผัสรบกวนใจอยู่ไม่น้อย ชายหนุ่มขยับอย่างไม่สบายตัวพลางบังคับม้าให้ออกเดินต่อด้วยมือข้างเดียว ฉับพลันนั้นก็ชะงัก ต้องก้มดูวงหน้าอ่อนเยาว์ในระยะใกล้ใต้แสงเช้าช้าๆ ชัดๆ เป็นครั้งแรก
เมื่อพินิจเครื่องหน้าอ่อนหวานนั้นแล้วเขาก็มั่นใจว่าเธอคือคนเดียวกันกับเด็กสาวที่ถนนมหารัถยาแน่
ที่ผ่านมาออกขุนหนุ่มไม่เคยเฉียดใกล้หญิงใด ที่ได้เจอในงานราชการก็จำหน้าไม่ได้ ทว่ากับแม่หญิงผู้นี้กลับมีเหตุให้พบถึงสองครั้งสองคราไล่เลี่ยกัน ด้วยประสบการณ์เดิมที่สร้างศัตรูไว้มากมาย โดนลอบสังหารเป็นสิบครั้ง เขาก็ปักใจไปแล้วหลายส่วนว่าต้องเป็นแผนการของใครบางคนที่ส่งเธอมามากกว่าจะเป็นความบังเอิญ
แค่ตอนนี้ยังมองไม่ออกว่าเป็นใครหรือต้องการอะไร
ก็ให้มันลองพยายามดูเถิด (เอียง)
‘...มิรู้จริงๆ ว่าเกวียนจักออกนอกเส้นทาง มิรู้ว่ามีความผิดอันใด...’
บัดนี้คนแก้ตัวนอนหลับตาพริ้ม ผิวเปลือกตาเป็นสีเลือดฝาดดูเปราะบางดุจแก้ว จะบอกว่าเจ้าตัวเกิดมาพร้อมรูปลักษณ์สะกดใจผู้คนก็คงใช่ ทว่ากับคนมองเวลานี้กลับไม่มีผล
จักมิรู้จริงๆ น่ะหรือ (เอียง)
เที่ยงวันแดดแผดจ้า บนเกาะหนองโสนซึ่งมีแม่น้ำสายใหญ่ไหลโอบนี้คือที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยาอันมีกำแพงก่อด้วยอิฐศิลาแลงสูงสามวาล้อมรอบ พวกเขาเลือกเข้าเมืองทางประตูช่องกุดเล็กๆ ทางทิศใต้แทนป้อมประตูใหญ่เพื่อหลีกเลี่ยงฝูงชน ถึงกระนั้นก็ยังรับรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เริ่มจากนายทหารเฝ้าประตูที่วันนี้มายืนออกันถึงหกคน ท่าทางสนอกสนใจแม่หญิงที่ออกขุนหนุ่มพามาด้วยเป็นพิเศษ ทหารจากป้อมข้างๆ ก็เดินมาแอบดูด้วย จากนั้นก็เริ่มมีชาวบ้านปรากฏตัวจากที่ไหนไม่ทราบได้มายืนยืดคอกระซิบกระซาบกันหลายกลุ่ม ทุกสายตาจับจ้องเป็นจุดเดียวที่ชายหนุ่มร่างสูงบนหลังม้าและเด็กสาวที่ยังสลบไสลไม่ได้สติ
คดีดักจับพ่อค้าลอบขนของต้องห้ามไม่น่าโด่งดังถึงเพียงนี้
ใช่ว่าเขาไม่เคยตกเป็นเป้าสายตามาก่อน หลังมียศขุนนำหน้าก็ถูกมองบ่อยเกินไปด้วยซ้ำ
“พาแม่หญิงไปขังรวมกับนักโทษ มิต้องใส่ตรวน” ชายหนุ่มลงจากหลังม้า ส่งคนในอ้อมแขนให้นายมิ่ง “หากใครถาม มิต้องพูดกระไรทั้งนั้น”
นายมิ่งรับคำขันแข็งแล้วจากไป ส่วนนายยง หลังจัดการเรื่องขอเกวียนขนส่งผู้ต้องหาที่ป้อมประตูเสร็จก็กลับมารายงานสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ทุกคนรู้จักแม่หญิงผู้นั้นขอรับท่านขุน ชื่อแม่ชวาลา ดูท่าจักเป็นลูกสาวพระยาพานทองจริงๆ”
ลูกสาวพระยาแล้วอย่างไร (เอียง) ชายหนุ่มไม่เห็นว่าหญิงสูงศักดิ์จะรับโทษบ้างไม่ได้ จึงแค่ขมวดคิ้วตอบ
“แต่มิใช่เรื่องนั้นดอกขอรับที่น่าห่วง เรื่องของเรื่องก็คือ...”
ปลายเสียงขาดหายไป เพราะทั้งคู่เห็นบุรุษผู้หนึ่งควบม้าเข้ามาหาอย่างเร็วจนฝุ่นตลบ พอหยุดม้าลงตรงกำแพงได้ ร่างเพรียวลมแต่งกายชุดขุนนางเต็มยศก็กระโดดลงมาชี้นิ้วถามเสียงดังลั่น
“น้องกูอยู่ไหน!”
“หมื่นวรไชย” ฝ่ายถูกเกรี้ยวกราดใส่เรียกชื่ออย่างสงบ “มิทราบว่ากำลังถามหาผู้ใด”
“อ้ายพันแสง มึงพาน้องกูหนี ยังจักบอกว่ามิรู้อีกรึ!”
เกิดเสียงฮือฮาดังกระหึ่มจากชาวบ้านที่มามุงดู เมื่อจู่ๆ หมื่นวรไชยก็ปล่อยหมัดเข้ากลางหน้าอีกฝ่าย ถึงพันแสงจะหลบได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม แต่การได้เห็นขุนนางชกต่อยกันกลางวันแสกๆ นั้นเป็นเรื่องบันเทิงระทึกใจที่หาดูได้ยากทีเดียว ที่สำคัญคือมีเรื่องชู้สาวมาเกี่ยวข้องเสียด้วย
ในอโยธยาไม่มีอะไรน่าบอกต่อกันมากไปกว่านี้อีกแล้ว!
“น้องสาวของท่านหมื่นคือแม่หญิงชวาลาใช่ฤๅไม่” พันแสงถามเสียงเรียบ “ถ้าใช่เช่นนั้นก็เชิญท่านหมื่นที่เกวียนคุมขังเถิด เพราะเพลานี้แม่หญิงเป็นผู้ต้องหาคดีลักลอบขนดินปืนของกระผมเอง”
ปกติเขาไม่ชอบพูดมากเรื่องงานที่ทำอยู่ แต่เข้าใจผิดกันแบบนี้ท่าทางจะไว้หน้ากันต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
“ผู้ต้องหา?” หมื่นวรไชยทวนคำเสียงสูง ทำหน้าเหลือเชื่อ
ใช่ (เอียง) เหลือเชื่อจริงๆ ที่ทุกอย่างลงตัวเหมาะเจาะถึงเพียงนี้ ชวาลารนหาที่อยู่ได้ถูกใจเขานัก!
เมื่อคืนแม้หมื่นวรไชยรู้เรื่องราวทั้งหมดจากละออแล้ว แต่ก็หาตัวชวาลาไม่พบ เกวียนไปพิษณุโลกขบวนนั้นจู่ๆ ก็อันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอย ตอนเช้าเขาแบกหน้ากลับไปหาหลวงบวรทัต ยอมรับว่าน้องสาวหายตัวไป ก็พบว่าเจ้านายตนกำลังหัวเสียหนักอยู่ก่อนแล้วด้วยเรื่องอื่น
ปรากฏว่าสิ่งที่พ่ออยู่หัวมีรับสั่งให้พันแสงรีบกลับจากแนวหน้าเมืองจันท์มาทำคือสืบเรื่องขุนนางยักยอกของหลวง หนึ่งในนั้นก็คือหลวงบวรทัตที่หากินกับเรื่องพวกนี้มาช้านาน แต่ด้วยเครือข่ายเส้นสายใหญ่โตเสียดฟ้า จึงไม่มีใครกล้าเปิดโปงเอาผิด
ซึ่งต้องเว้นไว้เสียคนหนึ่ง คือขุนสุริยนหัสดี
จากแต่ไหนแต่ไรที่พวกนายด่าน นายขนอน รวมทั้งทหารที่ลาดตระเวนแถวนั้นถูกสั่งให้อยู่ห่างจากเส้นทางรกร้างในป่าไผ่อย่างไร้เหตุผล ก็ไม่มีใครกล้าขัดขืน ไม่มีใครกล้าสงสัย ขุนแสงผลาญกลับมาแค่เจ็ดวันก็จับเกวียนขนดินปืนไปสามหลัง ซ้ำยังรื้อถางทางในป่าทุกแห่งที่พบเสียเหี้ยน
หลวงบวรทัตไม่ได้เสียดายดินปืนหรือเงินขนาดนั้น อันที่จริงไม่กลัวถูกลงอาญาด้วยซ้ำไป เพราะมั่นใจว่า ‘เบื้องบน’ ยังต้องการมันอยู่ แต่แค้นที่ถูกออกขุนหนุ่มรุ่นลูกเหยียบหน้าเสียมากกว่า
เมื่อรู้เรื่องชวาลาเข้ายิ่งโมโห แต่พอหัวคิดเจ้าเล่ห์ทำงานก็สร้างแผนชั่วขึ้นมาได้ทันที
‘มึงไปกระจายข่าวให้ทั่วพระนครว่าน้องสาวมึงกับมันลักลอบได้เสียกัน แล้วตอนนี้หนีตามกันไป’
ทุกครั้งที่ทำงานพวกพันแสงมักไปอย่างลับๆ จะมีคนรู้ก็ต่อเมื่องานสำเร็จแล้วเท่านั้น ครั้งนี้ก็เช่นกัน
‘ละ...แล้วถ้าสุดท้ายเราหานังชวาลามิพบจริงๆ ล่ะขอรับ’
‘มึงว่ามิค่อยมีใครรู้จักหน้าตาแม่วามิใช่ฤๅ’
เพราะตั้งแต่โตมา พี่ชายอย่างหมื่นวรไชยก็ไม่เคยพาออกงานสังคม แวดวงผู้ดีวัดวาอารามก็ไม่ได้ไป
‘หากหามิเจอจริงๆ มึงก็แค่เอาหญิงในซ่องสักคนแต่งให้มันไป จักไปยากกระไรเล่า’
ดังนั้นเมื่อเรื่องราวกลับตาลปัตร ชวาลาที่หายไปเกิดตกไปอยู่ข้างกายพันแสงจริงๆ ไม่ว่าในฐานะใด ล้วนเป็นเรื่องน่ายินดีทั้งสิ้นราวกับคำโป้ปดคำโตของหมื่นวรไชยต่อชาวเมืองได้รับการยืนยันแล้วนั่นเอง
บัดนี้ท่านหมื่นเจ้าสำอางจึงแทบกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ รีบทำเป็นเดือดเป็นร้อน เต้นผางปั้นน้ำเป็นตัวยกใหญ่
“แล้วกันซี ท่านขุนแสงผลาญผู้เก่งกาจ แต่ก่อนมึงไปมาหาสู่กับแม่วาถึงหน้าต่างเรือนนอน กูก็พยายามเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ อยากให้แต่งก่อนจึงจักให้ไปไหนมาไหนกันได้สมศักดิ์ศรีน้องสาว คิดมิถึงว่าพอคนอื่นรู้ว่าหนีตามกันไปแล้วจักป้ายสีข้อหาหนักให้ถึงเพียงนี้ ทั้งที่แม่วาก็เสียชื่อเพราะมึงเองมิใช่ฤๅ!”
พันแสงอดทนฟังจนจบ แววตาพลันแข็งกระด้าง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“กระผมมิรู้จักแม่หญิงชวาลามาก่อน ที่ท่านหมื่นพูดมาทั้งหมดมิเป็นความจริง”
“มึง...มึงกล้าบอกว่ามิจริง แล้วที่แม่วากับมึงหายไปด้วยกันสามวันสามคืน มึงจักบอกว่าไม่มีกระไรงั้นฤๅ” หมื่นวรไชยจำต้องแข็งใจเล่นละครต่อแม้เสียงเริ่มสั่น แผ่วปลาย ปกปิดความขี้ขลาดไม่มิด “พอย่ำยีน้องกูจนช้ำจนหมองแล้วมึงก็เขี่ยทิ้ง คิดว่าเป็นท่านขุนเลยจักใช้อำนาจตามใจชอบแบบนี้สินะ!”
“เลิกโกหกมิได้ความแล้วไปพูดกันต่อหน้าลูกขุน ณ ศาลาเถิด หมื่นวรไชย”
พันแสงหันหลังเดินออกห่าง ไม่อาจข่มอารมณ์สนทนาด้วยได้อีกต่อไป แต่พี่ชายแสนดียังหาเรื่องไม่เลิกรา กลัวก็กลัว แต่กลัวเรื่องไม่สมจริงเร้าใจชาวบ้านมากกว่า
“จักรักชอบกันกูมิเคยว่า แต่ยัดข้อหาใส่กันแบบนี้มันมิเกินไปหน่อยรึ ออกขุนสุริยนหัสดี!”
ร่างสูงผินหน้ากลับมาเล็กน้อย ปลายนิ้วแตะฝักดาบ
“ท่านหมื่นจักไปศาลกรมวังด้วยเรื่องของแม่หญิงชวาลา หรือศาลกรมเมืองด้วยเรื่องของตัวเอง”
หมื่นวรไชยกลืนน้ำลายขณะผงะถอย ยอมเงียบให้พันแสงเดินจากไปแต่โดยดี เป็นที่รู้กันว่าศาลกรมวังทำหน้าที่ตัดสินคดีความฟ้องร้องระหว่างราษฎรทั่วไป แต่ศาลกรมเมืองรับเฉพาะคดีรุนแรงฆ่าฟันกันบาดเจ็บสาหัสหรือถึงตายเท่านั้น ถ้าดาบนั่นหลุดจากฝักขึ้นมาย่อมไม่ใช่แค่แผลถลอก
ชาวบ้านสลายตัวกันไปตามทางอย่างรวดเร็วพอๆ กับขามา นายยงยืนมองเหตุการณ์นี้แล้วถึงกับสั่นศีรษะ เสียงเล่าลือปากต่อปากในอโยธยาเป็นยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง ถึงที่ผ่านมาออกขุนหนุ่มไม่เคยมีเรื่องเสียหาย แต่อย่างไรคนมักเชื่อข่าวร้ายมากกว่าดี
นี่ก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ฝ่ายตรงข้ามใส่ร้ายป้ายสีกันหน้าด้านๆ
“ส่งคนของเราไปดูผู้ต้องหาสามคนนั้นไว้ อย่าให้โดนฆ่าปิดปากเอาได้”
แต่ขุนสุริยนหัสดีอย่างไรก็คือขุนสุริยนหัสดี ผู้ไม่เคยหวั่นไหวไม่ว่าศัตรูจะซ่อนตัวอยู่ที่ใด มีอำนาจแค่ไหน มากมายเพียงไร ใครทำผิดกฎเมืองต้องจัดการ ใครลอบกัดต้องคืนสนอง
ถึงไม่เคยใช้วิธีสกปรก แต่ความตรงไปตรงมาของเขาก็ให้ผลหนักหน่วงไม่แพ้กัน
“แล้วเรื่องแม่หญิง...”
“ก็อย่างที่ข้าบอกไป ส่งคนไปเฝ้าไว้ให้ดี”
พันแสงรู้ว่านายยงกังวลเรื่องข่าวลือไร้ศีลธรรมนั่น แต่ไม่ได้สั่งความเพิ่มเติมอะไรอีก ในสายตาคนนอก หมื่นวรไชยและน้องสาวคือผู้เสียหายโดยไม่มีข้อกังขา เป็นเรื่องธรรมดาในสยามที่ชายหญิงคู่หนึ่งจะหนีไปด้วยกัน ไม่มีเหตุผลต้องกุเรื่องสร้างมลทินให้แปดเปื้อนแม่หญิงชวาลา ไม่แปลกถ้าเขาจะถูกสังคมตราหน้า ดิ้นไม่หลุดแม้ไม่มีหลักฐาน
มีเขาเพียงคนเดียวที่รู้ว่าคนพวกนั้นต้องการอะไร
ดูเหมือนมันจะล่วงรู้ความลับบางประการของอวิชชาต้องห้ามในที่สุด แต่ต่อให้รู้ก็เท่านั้น
ใจหวนนึกถึงเด็กสาวเนื้อตัวมอมแมมเต็มไปด้วยรอยแผล แสร้งตื่นกลัวอ้อนวอนเขามากมาย ก็รู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่ระแวงสงสัย แค่ไม่อยากเชื่อว่าเธอจะลงทุนลงแรงทำเรื่องน่าละอายเช่นนี้ได้
แต่มันมิง่ายเพียงนั้นดอก แม่หญิง (เอียง)
ความคิดเห็น |
---|