
บทที่ ๔
เมียนาง
สัมผัสของผ้าชุบน้ำเย็นที่แตะลงบนหน้าก่อนเช็ดไล่ไปตามแขนปลุกให้เด็กสาวตื่นขึ้นมาช้าๆ ทันทีที่รู้สึกตัวก็เจ็บแปลบไปทั้งร่างจนหน้าเหยเก คนดูแลเห็นเข้าก็ทำอะไรไม่ถูก
“แม่นาย แม่นายเจ้าขา เจ็บตรงไหนเจ้าคะ”
สายหยุดนั่นเองที่ดีใจจนลนลานทำน้ำในอ่างหกเลอะเทอะ ชวาลาลืมตาขึ้นมาเห็นก็ฝืนยิ้ม
“พี่สายหยุด พี่สบายดีฤๅ”
“แม่นาย” ทาสสาวน้ำตาร่วงเผาะ ได้แต่เรียกอยู่อย่างนั้นจนชวาลาต้องยันตัวลุกขึ้นมากอดปลอบถึงค่อยๆ สงบลง
หลังจากพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ความว่าเธอหมดสติไปสองวันเต็ม หมื่นวรไชยไปรับตัวมาจากตะรางขังนักโทษ แล้วเรียกพ่อหมอทองพินมารักษา จากนั้นก็ให้สายหยุดกับละออผลัดกันดูแลบนเรือนใหญ่ ส่วนเรื่องกลายเป็นผู้ต้องหาในคดีลักลอบขนดินปืนนั้น สายหยุดเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชวาลารอดมาได้อย่างไร
ถึงแม้จะไปหาคุณลุงที่พิษณุโลกไม่สำเร็จ แต่การได้กลับมาอยู่เรือนย่อมดีกว่าอยู่ในตะรางเป็นไหนๆ ต่อให้ไม่รู้ว่าจะถูกนายไชยทำร้ายอีกเมื่อไรก็ตาม ส่วนสายหยุดนั้นไม่ได้พูดถึงตัวเองสักคำ แต่ชวาลาก็เห็นว่าแผลถูกโบยเป็นแนวยาวบนหลังยังแดงก่ำ น่าสะเทือนใจยิ่ง
“ข้าทราบแค่ท่านหมื่นช่วยพูดให้ว่าแม่นายเป็นน้องสาว แลท่านขุนที่จับแม่นายเองก็แจ้งว่าเจอท่านซ่อนอยู่ในเกวียนแต่มิได้กระทำการเยี่ยงโจร ท่านผู้ใหญ่เขาจึงเห็นว่าไม่มีความผิดเจ้าค่ะ”
สายหยุดทำท่าคิด แล้วยิ้มน้อยๆ อย่างที่เห็นไม่บ่อยนัก
“แต่ระหว่างที่แม่นายมิอยู่ มีข่าวลือน่าเกลียดนักว่าแม่นายลอบหนีไปกับขุนแสงผลาญ ตอนกลับมาชาวบ้านเขาก็เห็นว่าจับมือถือแขนกันที่ประตูเมือง สุดท้ายศาลจึงตัดสินให้แม่นายออกเรือนไปกับท่านขุนเพื่อลบคำครหาเจ้าค่ะ”
“อ้อ เช่นนั้นก็ดีสิจ๊ะ...” ชวาลาฟังแล้วรู้สึกตงิดใจแปลกๆ กับความดีของหมื่นวรไชย จนต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะฉุกคิดได้ว่ามีเรื่องอื่นสำคัญกว่านั้น
“ออกเรือนฤๅ!”
“เจ้าค่ะ” สายหยุดรับคำอย่างปลื้มใจ ผิดกับสีหน้าของเจ้านายราวฟ้ากับเหว
“พี่สาย! พี่อย่าล้อฉันเล่น” ชวาลามีแรงตะเบ็งเสียงขึ้นมาเดี๋ยวนั้น ลืมสิ้นทุกความเจ็บปวด “ฉันจักออกเรือนไปกับท่านขุนนั่นได้อย่างไรเล่า รู้จักกันสักนิดก็หาไม่ ว่าแต่เขาเองเถิด จักยอมหรือ”
เด็กสาวคิดถึงสีหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงเฉียบขาด แววตาเย็นชาไร้ความรู้สึกคู่นั้นแล้วก็แทบลมจับ นึกภาพตัวเองเข้าไปอยู่ข้างกายเขาแบบมีชีวิตไม่ออก นึกได้แต่กลายเป็นศพไปแล้วเท่านั้น
แต่เหตุไฉนทาสคนดีของเธอถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เล่าไปเขินไปประหนึ่งเป็นเจ้าของเรื่องเสียเอง
“แม่นายเจ้าขา แม่นายรู้ฤๅไม่ว่าท่านขุนแจ้งต่อศาลเทียวว่านึกรักท่านตั้งแต่แรกเห็น มิเคยพบแม่หญิงใดงามเพียงนี้มาก่อน ท่านว่างามดั่งสวรรค์สร้าง รูปร่างก็อรชรอ้อนแอ้น พูดจาหวานเสนาะหู ทนเก็บความรักเอาไว้ฝ่ายเดียวมานานมาก ครานี้อย่างไรจึงต้องหาทางเอาแม่นายมาเป็นแม่เรือนให้ได้เจ้าค่ะ”
ในความคิดของสายหยุด เจ้านายตนงามจริงๆ ไม่มีใครเทียบเสมอ ส่วนขุนสุริยนหัสดีก็ช่างคมเข้มเก่งกาจสมชายชาติทหาร การที่ทั้งสองได้คู่กันคือพรประเสริฐแท้
ส่วนคน ‘งามดั่งสวรรค์สร้าง’ นั่งหน้าซีดอ้าปากค้าง รู้สึกคลื่นเหียนเป็นกำลัง
ทีแรกเธอก็ไม่คิดดอกว่าเป็นเรื่องโกหกจนมาถึงประโยคนี้ ดูท่าสายหยุดคงไม่รู้ว่าท่านขุนผู้องอาจในจินตนาการมองแม่หญิงชวาลาด้วยสายตาว่างเปล่าแค่ไหน และตรวนที่เขาสั่งให้ล่ามแม่คนงามไว้หนักเพียงใด
หากรู้แล้วรับรองว่าจักมิพูดเช่นนี้! (เอียง)
“พี่สาย พี่ไปฟังเรื่องพวกนี้มาจากที่ไหน”
สายหยุดนิ่งคิดแล้วก็หน้าเสีย “หมื่นวรไชยเจ้าค่ะ เห็นบ่าวในเรือนมันว่า”
“นั่นซี ดังนั้นเราจักต้องฟังหูไว้หูนะจ๊ะพี่” หรืออันที่จริงชวาลาบอกตัวเองได้ทันทีว่าโกหกทั้งเพ “แต่เรื่องออกเรือนนี่...เป็นความจริงใช่ไหมจ๊ะ”
“จริงเจ้าค่ะ ข้าไปดูเขาเตรียมงานทุกเย็น อีกยี่สิบวันก็จักเป็นวันสุกดิบแล้วเจ้าค่ะ”
ยี่สิบวัน เร็วเกินไปแล้ว ชวาลานึกอยากให้ตัวเองสลบต่อไปจนร่างกายโรยราแตกสลาย ไม่ต้องตื่นขึ้นมารับรู้อะไรให้ปวดหัว ไม่มีทางที่เขาผู้นั้นจะอยากได้เธอไปอยู่เรือนไม่ว่าในฐานะใดก็ตาม
อันที่จริงหากเธอและเขาจำต้องแต่งงานกัน เพราะถูกเข้าใจผิดว่าชิงสุกก่อนห่ามจากความผิดพลาดที่เธอเข้าไปหลบอยู่ในเกวียนเจ้ากรรมนั่นให้เขาจับได้ ก็ยังนับว่ามีเหตุผล แต่เรื่องหมื่นวรไชยทำตัวดี ชวาลาคิดอย่างไรก็คิดไม่ตกว่าทำไม คล้ายกับว่าพี่ชายอยากให้เธอแต่งงานออกไปให้ได้ แล้วข่าวลืออื้อฉาวก็มาถูกจังหวะเสียเหลือเกิน
จะว่าไป เธอยังไม่รู้ชื่อของเจ้าบ่าวตัวเองเลยด้วยซ้ำ
“พี่สาย เมื่อครู่พี่เรียกท่านขุนว่าอย่างไรนะจ๊ะ”
“ขุนแสงผลาญเจ้าค่ะแม่นาย แต่ชื่อเดิมเขาว่าท่านชื่อพันแสง”
พันแสง... (เอียง)
ชวาลาเงียบไปอย่างใช้ความคิด หลับไปสองวัน ตื่นขึ้นมาอีกทีสติปัญญาเธอแจ่มใสกว่าเดิมมาก จำได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะชื่อพันแสงที่ได้ยินพี่ชายตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดนับครั้งไม่ถ้วน เป็นเรื่องบังเอิญเกินไปหรือไม่ที่เธอต้องออกเรือนไปกับคู่อริของหมื่นวรไชย ที่สำคัญคือทั้งสองเต็มใจเสียด้วย
แปลก แปลกมาก (เอียง)
เพราะกำลังครุ่นคิดวุ่นวายใจ เด็กสาวจึงดื่มยาที่สายหยุดนำมาป้อนให้ถึงปากโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เหม่อจนสำลักทำยาหก ซึ่งสายหยุดตัดสินไปเองเลยว่าเป็นเพราะแม่นายคิดถึงท่านขุน เช็ดเนื้อเช็ดตัวกันเสร็จหญิงสาวก็ขอตัวไปตักน้ำมาเพิ่ม
ตอนนั้นเองที่ชวาลาเห็นใบหน้าเล็กจ้อยของเด็กหญิงมาแอบมองอยู่ตรงข้างประตู
“ละออ เข้ามาหาพี่สิ”
ชวาลาร้องเรียก พอน้องน้อยเข้าใกล้ก็ดึงมากอดแน่นอย่างยินดี
“พี่ห่วงเจ้านัก เป็นเยี่ยงไรบ้าง”
วันนี้ละออไม่ช่างพูดช่างจาเหมือนเคย กลับนัยน์ตาหลุกหลิกชอบกล ท่าทางหนักใจตอนส่งห่อผ้าให้เธอพลางบอกเสียงเบา
“ท่านขุนฝากมาให้พี่วา”
“ขุนแสงผลาญฤๅ”
แค่ได้ยินชื่อชวาลาก็รู้สึกแก้มอุ่นขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม เมื่อรับห่อผ้ามาแกะดูก็พบกำไลเงินประดับพลอยสองวง ไม่ต้องเป็นผู้รู้ก็บอกได้ว่ามีราคา ยิ่งไปกว่านั้นยังพอดีกับข้อมือของเธอที่เล็กกว่าหญิงทั่วไปอีกด้วย
เด็กสาวสับสนอยู่อึดใจหนึ่งยามเห็นของขวัญล้ำค่านั้น แล้วจึงตั้งสติได้
“แล้วใครให้เจ้าเอามาให้พี่เล่า ละออ”
นานทีเดียวกว่าละออจะถอนหายใจเฮือก ตอบสั้น “ท่านหมื่น”
ผู้เป็นพี่เลิกคิ้ว
หมื่นวรไชยทุ่มเทมากเกินไปแล้วในการสานสัมพันธ์จอมปลอมครั้งนี้ แต่อย่างไรเสียเธอจะเก็บกำไลไว้ เพราะคงแลกข้าวสารให้บ้านแม่ม้วนเลี้ยงเด็กๆ ได้หลายเดือน ส่วนความวูบไหวประหลาดยามนึกถึงบุรุษผู้โดนอ้างชื่อนั้น เด็กสาวตัดสินว่าคงเป็นเพราะอับอายที่ถูกจับคู่ ซ้ำยังไม่รู้ว่าหมื่นวรไชยจะใช้กลโกงตื้นๆ ไปทำเรื่องอะไรอีกรึเปล่า
ในขณะที่ชวาลาส่ายหน้าระอาพฤติกรรมของพี่ชาย ละออก็นั่งซุกหน้ากับบ่าบอบบางเงียบๆ
‘มึงเอาของไปให้แม่วา บอกว่ามาจากอ้ายพันแสง’
เสียงแข็งกระด้างของหมื่นวรไชยยังก้องอยู่ในห้วงคิด
‘แล้วอย่าไปบอกให้มันรู้เข้าล่ะว่ามาจากกู มิเช่นนั้นกูจักเล่าให้พี่วามึงฟังให้หมดว่ามึงหักหลังมันเยี่ยงไร’
เด็กหญิงมานั่งเฝ้าหน้าห้องอยู่นานสองนาน ได้ยินเสียงชวาลาคุยกับสายหยุด ถึงดีใจแค่ไหนก็ไม่กล้าเข้าไป มือที่กำห่อผ้าชุ่มเหงื่อ ทรมานใจกับคำขู่ของนายไชยทั้งที่ตัวเองก็ยังสับสนว่าทำอะไรผิด
สรุปแล้วที่บอกเขาเรื่องชวาลาไปเมื่อคืนก่อนนั้นไม่ถูกต้องหรือ ถ้ามันเป็นการหักหลัง ชวาลาย่อมต้องเสียใจมาก
แล้วถึงตอนนั้นหากพี่วาของเธอรู้ จะยังกอดเธอแบบนี้อยู่หรือไม่
“ละออ เป็นกระไรไป” เสียงนุ่มหูอันคุ้นเคยมาพร้อมมืออุ่นที่วางลงบนศีรษะ “ยังตกใจอยู่ฤๅ”
ร่างเล็กสั่นศีรษะแรงๆ แล้วกอดเอวเด็กสาวแน่นกว่าเดิม “ข้าเป็นห่วงพี่”
“มิเป็นกระไรแล้ว พี่หายดีแล้วเห็นไหม” ชวาลาปลอบ ทีแรกคิดว่าจะพูดคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเสียหน่อยเลยต้องเลื่อนออกไปก่อน เพราะต่อให้แก่นแก้วอย่างไรละออก็ยังเด็ก สองสามวันที่ผ่านมานี้ออกจะหนักหนาเกินไปจริงๆ
“ถึงเพลานี้ต้องกลับมาอยู่เรือน ท่านหมื่นเขาก็ดีกับพี่มากขึ้นแล้ว อีกมินานเราค่อยหาทางกลับไปหาน้องๆ ที่บ้านสวนกันนะจ๊ะ”
ละออเกิดมาแทบไม่เคยทำหน้าเศร้า ชวาลาจึงอดพูดหยอกไม่ได้ “จ๋อยเชียว นี่ฤๅพี่ต้องไปเอาทัพพีมาตักขวัญ๔ให้เจ้าเสียหน่อยดีฤๅไม่”
“โธ่ พี่วาก็...ข้าโตแล้วน่า”
เด็กหญิงโวยที่ชวาลาทำเหมือนเธอเป็นเด็กเล็ก ที่พอหกล้มขวัญกระเด็นหายแล้วผู้ใหญ่ต้องเอาทัพพีวิ่งไปตักขวัญมาคืนให้จึงจะหายเจ็บ
เมื่อสายหยุดกลับมาในห้อง ทั้งสามคนอยู่ตามลำพังก็เหมือนได้กลับไปที่เรือนเล็กแสนสุขอีกครั้ง จึงค่อยๆ คลายความตระหนก พักเดียวก็หัวเราะกันสนุกสนาน ชวาลานั้นเก็บความกังวลใจเรื่องออกเรือนเอาไว้อย่างมิดชิด ส่วนละออเองก็มีเรื่องให้คิดมากซึ่งบอกใครไม่ได้เหมือนกัน
‘ผู้ชายหาความสุขเล่นพนัน มีเมียบ่าวเป็นเรื่องธรรมดา พี่วาของมึงเป็นคนดื้อ หัวแข็ง มิยอมเข้าใจเรื่องพวกนี้ ถึงได้ทะเลาะกับกูอยู่เรื่อย โตขึ้นมึงจักรู้เองว่าบ้านไหนเรือนไหนเขาก็เป็นกันทั้งนั้น’
‘ประเดี๋ยวออกเรือนไป แม่วาทำตัวเช่นเดิมอีกพวกมึงก็ต้องลำบาก ครานี้ไม่มีคำว่าพี่น้องค้ำคอ อ้ายขุนแสงผลาญมันคงมิใจดีนักดอก ก็จักถูกด่าเอาตีเอาตามใจชอบ จักหนีไปไหนก็มิได้เพราะมันมีคนเฝ้าอยู่ทั่ว แม่วาอาจใจดีกับมึง แต่ถ้าเป็นเมียที่มิได้ความ ผัวมันก็มิไว้หน้า’
‘อีละออ ถ้ามึงรักพี่วาจริงอย่างที่มึงว่า มึงต้องฟังกู กูรู้ว่าผู้ชายด้วยกันต้องการกระไร อีกอย่าง...ถ้าแม่วามีลูกให้อ้ายพันแสงมิได้ พวกมึงก็เตรียมออกไปอยู่ข้างถนนกันได้เลย!’
ในเวลาไล่เลี่ยกัน ภายในศาลหลวงที่บรรยากาศร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ บุรุษสองคนกำลังเดินสนทนากันไปตามทางเดินริมสวนอย่างไม่รีบร้อน
หนึ่งคือขุนนางสูงศักดิ์ที่เพียบพร้อมไปด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิเป็นพระมหาราชครู เจ้ากรมใหญ่ฝ่ายตัดสินคดีความกรมธรรมาธิกรณ์ นามพระยาแก้วเการพ อีกหนึ่งคือขุนสุริยนหัสดี ผู้อ่อนวัยกว่าเทียบได้กับรุ่นลูก แต่ด้วยหน้าที่การงานทำให้ทั้งคู่สนิทสนมนับถือกันเหมือนญาติ ทุกครั้งที่ชายหนุ่มกลับมาพระนครก็จะมาเยี่ยมเยียน ‘ท่านอา’ อยู่เสมอ
“พันแสง เอ็งคงมิโกรธอาใช่ไหมที่ปล่อยให้พวกลูกขุนตัดสินคดีไปเช่นนั้น” ผู้อาวุโสกว่าถาม มีรอยยิ้มหนักใจประดับบนใบหน้าเหี่ยวย่น
ออกขุนหนุ่มปฏิเสธและตอบด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายอันหาได้ยากยิ่ง
“ท่านอาเป็นพระมหาราชครูผู้เที่ยงธรรม ย่อมมิก้าวก่ายการตัดสินคดีของตระลาการอื่น หรือหากเป็นผู้ตัดสินเองก็ต้องว่าความไปตามความถูกต้อง มิขึ้นกับตัวบุคคลใด
“ครั้งนี้กระผมทำผิดกฎหมายจริง ได้จับเนื้อต้องตัวแม่หญิงชวาลาซึ่งมิใช่ทั้งเมียแลน้องสาว๕ ต่อให้ด้วยเหตุจำเป็นก็ยังนับว่าเป็นความเลินเล่อ ทำให้แม่หญิงถูกชาวเมืองครหา ท่านอายอมให้ตัดสินเช่นนี้ก็ถือว่ามีเมตตามากแล้วขอรับ”
เป็นความจริงที่ชายหนุ่มทำผิดจารีต ผิดกฎหมาย มีพยานรู้เห็นนับร้อย แต่ในขณะที่ยอมรับนั้น เขาเองก็รู้ดีว่าหากไม่มีข่าวลือที่หมื่นวรไชยกุขึ้นมา บทลงโทษก็แค่ขอขมาฝ่ายหญิงและชดใช้ค่าปรับไหม เพราะเขาอธิบายได้ชัดเจนว่าทำไปด้วยหน้าที่ควบคุมตัวผู้ต้องหา หาได้คิดเกินเลยกับเด็กสาวไม่
ตัวหมื่นวรไชยนั้นมาขึ้นศาลแทนน้องสาว อ้างว่าแม่หญิงชวาลาทั้งเจ็บตัวทั้งอับอายเกินกว่าจะสู้หน้าใคร ขณะที่ว่าความก็เอาแต่พูดปดไม่หยุดหย่อน เอาชื่อเสียงครอบครัวตัวเองมาทำระยำป่นปี้เช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะอยากให้เขาตายขนานหนักแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นเหตุอื่นไปได้
เมื่อมีเรื่องชู้สาวมาเกี่ยวข้อง พันแสงจะปฏิเสธอย่างไรก็ไร้ผล ซ้ำทุกคนยังเห็นพ้องต้องกันว่าคนมีวิชาอาคมอย่างเขาจะเข้านอกออกในที่ใดก็ได้ตามใจชอบ อีกฝ่ายเป็นถึงลูกสาวพระยาพานทอง มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ไม่มีเหตุผลให้ต้องทำลายชื่อเสียงของตนอย่างโง่เขลาเช่นนี้
แต่ในทางกลับกัน ถ้าหญิงสูงศักดิ์อย่างชวาลาจะยอมให้บุรุษสักคนขึ้นห้องนอนยามค่ำคืน ก็ต้องเป็นคนที่มีคุณสมบัติโดดเด่นทั้งรูปกายและฐานะทางสังคมอย่างขุนสุริยนหัสดีเท่านั้น สุดท้ายก็นับว่าสมเหตุสมผลแล้วไม่ใช่หรือ
เหลวไหลไร้สาระ (เอียง) พันแสงต้องอดกลั้นยั้งวาจาเป็นพันรอบระหว่างพิจารณาคดี พวกลูกขุน ณ ศาลาพวกนั้นใช้ทัศนคติของตัวเองล้วนๆ ตัดสินปัญหา แล้วก็เห็นตามกันไปหมดว่าชายในสยามมีเมียได้หลายคน คนหนุ่มอายุน้อยอนาคตไกลอย่างเขาก็ควรมีสักสี่ห้าคนด้วยซ้ำไม่เสียหาย
หรือถ้าไม่ชอบคนนี้ก็แค่แต่งอนุเข้าเรือนใหม่ ผู้หญิงคนเดียวจะสร้างปัญหาได้แค่ไหนกัน
ออกขุนหนุ่มเช่นเขาทำความดีความชอบ มีเงินทองมากมาย เลี้ยงลูกเมียเป็นโขยงได้ไม่อดอยาก
ชายหนุ่มเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองผิดแผกจากขุนนางอื่นมากก็คราวนี้ หลังจากปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและบอกชัดว่าไม่ต้องการมีภรรยาไปนับครั้งไม่ถ้วน ผลการตัดสินก็ยังคงเดิม แม้แต่พระยาแก้วเการพที่อยู่ตรงนั้นด้วยยังแก้ไขอะไรไม่ได้
นอกเสียจากจะช่วยทูลเกล้าฯ ขอให้แต่งชวาลาเป็นภรรยาพระราชทานในฐานะที่ขุนแสงผลาญจงรักภักดี ทำศึกปกปักเขตแดนไว้หลายครั้ง จึงสมควรได้ ‘เมียนาง’๖ เป็นบำเหน็จรางวัล เพื่อที่ภายหน้าจะได้ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ในทางเสื่อมเสียอีก
“ข้าเองมิเชื่อข่าวลือพวกนั้นดอก จึงเห็นว่ามิยุติธรรมกับเอ็งอยู่บ้างที่จักต้องมารับคำตัดสินนี้” พระมหาราชครูกล่าว ถอนหายใจเบา “อีกอย่างก็เห็นกันอยู่ว่าเอ็งมิอยากมีเมีย แต่เรื่องนี้จักให้เหล่าขุนนางเข้าใจได้เยี่ยงไร ทุกคนล้วนมีเมียหลวงเมียน้อยกันสามสี่คนทั้งนั้น”
“ขอรับ” ชายหนุ่มรับคำ คิดถึงอวิชชาต้องห้ามของตนแล้วก็สงสัยว่าถ้าไม่มีมัน แม่หญิงชวาลาจะยังพยายามเข้ามาข้องเกี่ยวกันอีกหรือไม่
“แต่อย่างไรข้าก็อยากขอแนะเอ็งสักครั้งเถิด ข้ารู้ว่าผู้ชายเรารับราชการก็หวังทดแทนคุณแผ่นดิน เหนื่อยยากหรือตัวตายมิเสียดาย แต่ที่ผ่านมาเอ็งก็ทำเต็มที่แล้วมิบกพร่อง หลายขวบปีที่ผ่านมาปราบอริราชศัตรูไปมิรู้เท่าไร จากนี้ไปเห็นทีศึกใหญ่คงมิได้มีบ่อยนักดอก ศึกเล็กศึกน้อยก็แบ่งให้ผู้อื่นรับไปลำบากบ้าง”
พันแสงยอมรับฟัง รู้ตัวดีว่ารับราชการมาห้าปี มีแต่ทำงานเอาเป็นเอาตาย เถรตรงเด็ดขาด ไม่ไว้หน้าผู้ใด ยิ่งมีอวิชชาส่งเสริมก็ยิ่งเจริญก้าวหน้ายศสูงเกินวัย ถ้าคนจะพาลชิงชังที่ได้ดีกว่าก็ถูกต้องแล้ว
แต่พระมหาราชครูไม่ได้หมายความอย่างที่เขาคิด
“กลับมาอยู่พระนครครานี้ก็ถือโอกาสใช้ชีวิตเรียบง่ายเป็นสุขสักครั้งเถิด แม่ชวาลาเองก็คงเป็นแม่เรือนที่ดีได้เช่นหญิงชาวสยามทั่วไป เอ็งก็ให้ความรัก เอ็นดูเมีย กลับเรือนมาก็มีข้าวกินที่นอนใหม่ นานวันเข้าคุยกันได้รู้ใจก็กลายเป็นหลังบ้านที่ดี ไว้มีลูกอีกสักสองสามคน สั่งสอนให้เก่งเหมือนเอ็งได้ก็จักยิ่งน่าพอใจ ภายภาคหน้าสยามจักได้มีขุนนางดีแม่ทัพกล้าไว้ใช้สอยสืบไปดีฤๅไม่”
ฝีเท้าออกขุนหนุ่มแทบสะดุดเมื่อฟังจบ ภาพเด็กสาวร่างบางซบหน้าซุกในอ้อมอกผุดขึ้นในห้วงคำนึงแล้วก็ให้รู้สึกหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก สีหน้าจึงขรึมลงหลายส่วนขณะรับคำสั้นๆ ไม่ประสงค์จะพูดเรื่องนี้อีก
ทั้งสองเดินมาถึงสุดทางเดิน พันแสงเห็นว่านายยงกับนายมิ่งยืนรออยู่จึงเอ่ยลาพระยาแก้วเการพไปพบลูกน้อง ผู้มากอาวุโสกว่าตบบ่าชายหนุ่ม บอกว่าจะไปร่วมงานแต่งงานด้วยก่อนผละจากไป
“ท่านขุนขอรับ” ทันทีที่เข้าไปใกล้นายมิ่งก็ขยับตัวกระสับกระส่าย
“ผู้ต้องหาตายเมื่อไร” พันแสงถาม
“อ๊ะ! ทำไมท่านขุนรู้เล่าขอรับ”
“ก็หน้าเอ็งมันฟ้อง” เขาว่าแล้วหันไปถามเอาความกับนายยงที่ยืนหน้าเครียดอยู่ข้างๆ แทน “พบใครต้องสงสัยฤๅไม่”
“ไม่มีขอรับ กระผมกับอ้ายมิ่งอยู่ยามตลอดเวลาตามคำสั่งท่านขุน ไม่มีคนนอกเข้าไปในตะรางได้แน่นอนขอรับ” นายยงยืนยัน “แล้วพวกมันก็เพิ่งตายก่อนเอาไปชำระความเมื่อเช้านี่เอง ชัดเจนนักขอรับ”
ใช่ (เอียง) มันกระทำการอุกอาจ จงใจแสดงออกว่าไม่เกรงกลัวกฎบ้านกฎเมืองสักนิด
อันที่จริงออกขุนหนุ่มคาดการณ์ได้ตั้งแต่ที่ถูกเลื่อนพิจารณาคดีออกไปถึงสองครั้งว่าพวกมันกำลังรอจังหวะ และคนทำเป็นคนในอย่างที่คิดไว้
ดังนั้นนี่เป็นคำเตือนให้ถอย
ศัตรูของเขาฉลาดไม่มาก แต่มีอำนาจไม่น้อย
“มิเป็นกระไร” พันแสงบอก “ครานี้เรากำลังต่อกรกับคนที่เอาผิดได้ยาก หากมีปัญหาร้ายแรงกว่าที่เคยก็ถือว่ามาถูกทางแล้ว”
ชายหนุ่มไม่อาจนิ่งดูดายได้เมื่อกรรมชั่วมาเกิดตรงหน้า ที่ทนแบกรับอวิชชาก็เพื่อไล่ล่าพวกมันมารับโทษ ฉะนั้นที่บอกว่าให้เขาใช้ชีวิตเรียบง่ายเป็นสุขสักครั้ง ชาตินี้เห็นทีจะไม่ทันแล้วกระมัง
“แต่นี่ผู้ต้องหา...ตายในคุกเลยนะขอรับ” นายมิ่งพึมพำเสียงอ่อยจนนายทหารรุ่นพี่แทบโบกกบาล
“อ้ายมิ่ง! มึงเป็นทหาร ลูกเมียพ่อแม่ก็ไม่มี ขี้ขลาดเช่นนี้มึงกลัวดูแลตัวเองมิได้ฤๅ!”
“เอ้า พี่ยง! ก็เพราะยังไม่มีเมียน่ะซี ข้าถึงได้กลัวตาย”
พ่อแม่ลูกไม่นับ นับแค่เมีย ทั้งน้ำเสียงและท่าทางตอนนี้ดูไม่ออกแล้วว่ามันเครียดจริงหรือล้อเล่น
“พวกพี่ทั้งพี่หาญ พี่สัก มีเมียกันหมดแล้ว ถึงตายมิเสียดาย นี่ท่านขุนก็จักมาทิ้งข้าไปอีก”
ไปๆ มาๆ ปรากฏว่าวกเข้าเรื่องเด่นอโยธยาเฉย
“ท่านขุน อันที่จริงกระผมก็อุ้มแม่หญิงชวาลา มิเห็นเขาถือสากระไรเลย”
นายยงถอนหายใจแทบเป็นเสียงคราง กุมขมับ ส่วนออกขุนหนุ่มย้อนถามเสียงเรียบ
“แล้วเอ็งว่าอย่างไรจึงดี อ้ายมิ่ง”
เสียงนั้นราบเรียบไร้อารมณ์ แต่สีหน้าที่สงบอยู่เสมอบัดนี้นิ่งเกินไป สายตาเย็นเยียบกว่าที่เคย นายมิ่งเห็นแล้วใจหายวาบ จะได้ตายก่อนแต่งเมียก็คราวนี้
“อ่า...แม่หญิงต้องคู่กับท่านขุนถูกต้องแล้วขอรับ งามสมแล้ว กระผมไหว้ขอรับ! ประเดี๋ยวขอตัวไปดูทางโน้นก่อน”
ชาวสยามโดยปกติแล้วเมื่อแต่งงานฝ่ายชายจะต้องมาปลูกเรือนหอในที่ของฝ่ายหญิง บ้างก็ให้ใช้ไม้หมากซึ่งไม่ทนทำเสาเรือน พอมีบุตรก็ผุพังพอดี เป็นกุศโลบายให้แยกครัวไปปลูกเรือนใหม่ แต่ในกรณีของชวาลากับพันแสงนั้นเริ่มต้นต่างไปจากผู้อื่นเล็กน้อย
เนื่องจากหมื่นวรไชยประกาศชัดว่าอยากให้น้องสาวแต่งออกไปอยู่กับฝ่ายชายมากกว่า ส่วนขุนสุริยนหัสดีก็ไม่ได้ว่าอะไร หรือปฏิเสธไปก็เท่านั้น เพราะทันทีที่มีข่าวงานมงคลสมรสพระราชทานออกมา ชาวบ้านชาวช่องก็สืบรู้กันจนทั่วว่าเรือนฝากระดานใหญ่โตทำจากไม้ทั้งหลังที่ตั้งอยู่ในทำเลสวยงามแสนสงบ ซ่อนจากความวุ่นวายทั้งปวงแถบคลองวัดปราสาทนั้น เป็นเรือนไม้พระราชทานของท่านขุนแสงผลาญนี่เอง
และทุกคนก็ลงมติไปแล้วว่าควรใช้เป็นเรือนหอ เหมาะสมคู่ควรกับเมียนางของท่านเป็นที่สุด
ในขณะที่มีคนมากมายรอชมงานสมรสพระราชทานที่ไม่ได้มีมานานแล้วอย่างใจจดใจจ่อ วันสำคัญนั้นกลับมาถึงเร็วเกินไปในความรู้สึกของบ่าวสาว
ขบวนขันหมากเดินผ่านถนนหลวงมหารัถยาตั้งแต่รุ่งสาง จัดอย่างเอิกเกริกงดงามทั้งขันหมากเอกขันหมากโท ชาวพระนครต่างตื่นตาตื่นใจกับพานนับร้อยใส่ข้าวสารหมากพลู พลูจีบจัดเรียงมีฉัตรระย้าปักเป็นยอด มีหมูต้ม ห่อหมก ขนมจีน หุ้มด้วยผ้าแพรและผ้าไหมวางบนเตียบ นอกจากนี้ยังมีต้นกล้วย ต้นอ้อย มะพร้าวอ่อน ถั่วและงา อีกทั้งขนมและผลไม้อีกมากล้วนนำมาเป็นจำนวนคู่ เดินเรียงรายพร้อมเสียงวงมโหรีสลับเสียงโห่ร้องของเหล่าคนร่วมงาน ดูยิ่งใหญ่ตระการตาไปตลอดทางจนถึงเรือนพระยารัตนาธิปก
ชวาลาผู้เป็นเจ้าสาวกลับไม่ได้เห็นภาพนั้นด้วยตาตัวเอง เพราะต้องตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
ยี่สิบกว่าวันที่ผ่านมาเด็กสาวอยู่แต่ในห้องนอนเพื่อรักษาบาดแผล เจอแค่พ่อหมอทองพิน ละออ และสายหยุดเท่านั้น จนกระทั่งสามวันก่อนถึงมีสตรีแปลกหน้าสามคนเดินทางมาพักอยู่ด้วย พวกนางแจ้งว่าเป็นภรรยาของนายทหารลูกน้องขุนสุริยนหัสดี เมื่อทราบว่าจัดงานกระชั้นชิดแล้วชวาลาไม่มีญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงที่พอจะช่วยแต่งตัวเจ้าสาวได้ ก็ขันอาสามาเองด้วยความเต็มใจ
เป็นความจริงที่ครัวพระยารัตนาธิปก บิดาของชวาลาไม่มีญาติในพระนคร เพราะย้ายจากพิษณุโลกมาตั้งครัวเดี่ยวเพื่อทำงานให้หลวงโดยเฉพาะ ดังนั้นหลังจากบุพการีสิ้นใจ ลึกๆ แล้วเด็กสาวจึงรู้สึกเคว้งคว้างไร้ที่พึ่งอย่างมาก งานพิธีการต้องทำอะไรบ้างก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่เหมือนบุตรีขุนนางทั่วไป เพราะในหัวเธอวันๆ มีแต่เรื่องแก้ปัญหาปากท้องเท่านั้น
เหล่าภรรยานายทหารเมื่อได้รู้จักแม่หญิงชวาลาเองกับตัว ก็พบว่าแม้เด็กสาวจะพูดจาเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ยังไร้เดียงสาตามวัย ออกเป็นสาวซื่อ ไร้จริตจะก้าน ต่างจากที่เล่าลือกันโดยสิ้นเชิง
จากทีแรกที่พวกนางตั้งเป้าว่าต่อให้อีกฝ่ายเป็นหญิงสูงศักดิ์ ก็จะขออบรมเสียหน่อยเถิดเรื่องรักนวลสงวนตัว รักษากิริยามารยาท ไม่ให้วันหน้าทำท่านขุนแสงผลาญเสื่อมเสียเอาได้ หญิงทั้งสามกลับกลายเป็นรักใคร่เอ็นดูแม่หญิงอาภัพผู้นี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนพาลฉุนออกขุนหนุ่มที่คงเป็นฝ่ายใช้เสน่ห์หลอกน้อง ชิงสุกก่อนห่ามจนมีข่าวฉาวให้คาวไปทั้งพระนคร
“อีกรอบฤๅจ๊ะ”
ชวาลาถูกจับนั่งหน้าม้าเครื่องแป้ง๗อยู่นานจนขาเป็นเหน็บ เห็นนางอ่อนหยิบน้ำอบขึ้นมาพรมตัวเป็นรอบที่สี่ก็หน้าเจื่อน ขนาดแค่ผิวยังนานขนาดนี้ ทั้งตัวไม่รู้จะเสร็จเมื่อไร
“ต้องอาบกันหลายรอบแบบนี้ละถูกแล้ว” นางอ่อนว่า ยิ้มอย่างชื่นชมผิวนุ่มเนียนละเอียดของเด็กสาว “ผิวแม่งามนัก นี่ขนาดยังมิทันลงแป้ง ก็ควรแล้วให้ท่านขุนยอมสนใจเรื่องอื่นนอกจากไปทัพเสียที”
มันใช่ฤๅ (เอียง) ชวาลารู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ให้หน้าแดงไม่ได้อยู่ดี
ภรรยานายทหารทาน้ำอบจนทั่วตัวเจ้าสาวแล้วเอาพัดพัดจนแห้ง ทาน้ำอบซ้ำอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงลงแป้งทับ
ชวาลาพินิจใบหน้าตัวเองที่ผัดแป้งร่ำเสียขาวนวลในคันฉ่อง จากนั้นยังนำแป้งมาเจือด้วยน้ำอบปรุงลูบผิวกายหลายรอบจนขาวผ่องไปทั้งตัว หอมกรุ่นด้วยเครื่องหอมทั้งกำยาน พิมเสน ผิวมะกรูด หญ้าฝรั่น และอื่นๆ อีกมากที่เธอไม่รู้จัก
เด็กสาวแอบนั่งดมผิวตัวเองอยู่คนเดียว แล้วก็เผลอนั่งดมน้ำอบเขาอีก พี่ๆ จับได้ก็ถูกเอ็ดเอาเป็นตัวตลก จนแม้แต่สายหยุดยังหลุดขำ
“หอมถึงเพียงนี้ หากรู้ว่าใช้กระไรบ้างก็คิดจักทำขายน่ะเจ้าค่ะ” เธอสารภาพอายๆ
“พุทโธ่! แม่วา”
นางวาด อีกหนึ่งภรรยานายทหารหัวเราะกับนางอ่อนไม่เลิก แม่คนงามเป็นถึงลูกขุนนาง โตเป็นสาวมาน้ำอบสักขวดยังไม่มี ดูท่าพวกนางต้องคิดบัญชีกับหมื่นวรไชยอีกคนแล้วกระมัง!
“แม่อย่าได้คิดหาเงินเป็นแม่ค้าตลาดเช่นนี้อีกหนา ท่านขุนรู้ท่านจักโกรธเอา เงินท่านมีมากมาย กินเป็นสิบปากยังมิหมด จักให้เมียลำบากทำน้ำอบขายคนเขาได้หัวร่อฟันหัก วันหน้าเป็นท่านหญิง แม่อยากได้ค่อยใช้ให้บ่าวไปซื้อ รู้ฤๅไม่”
“อ้อ...จ้ะ” ‘เมียท่านขุน’ ตอบได้แค่นั้น
แล้วก็ถึงเวลาของเครื่องประทิ่น๘ นางบัวซึ่งมีฝีมือแต่งหน้ามากที่สุดเพราะเคยถวายตัวเป็นข้าหลวงสมัยเด็กๆ ได้เห็นสาวชาววังแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างใกล้ชิดแล้วครูพักลักจำเอามาใช้ข้างนอกจึงรับหน้าที่นี้ไป
ถือว่าความเป็นชาววังยังคงอยู่ในทุกอิริยาบถของหญิงวัยยี่สิบกลางคนนี้จริงๆ ตั้งแต่การลงสีคิ้ว ทาชาด๙ เกล้าผมก็ทำอย่างบรรจง เก็บแม้กระทั่งลูกผมเล็กๆ จนหน้าผากเจ้าสาวนูนสวยเกลี้ยงเกลา ทุกอย่างละเมียดละไมพิถีพิถันไปหมด คนดูก็ดูเพลินตาคล้ายตกอยู่ในภวังค์ จวบจนนางบัวคล้องสร้อยสังวาลให้ชวาลาแล้วถอยออกมายิ้มอย่างพอใจ ทุกคนจึงได้สติ
“เสร็จแล้วจ้ะ”
สายหยุดจ้องแม่นายของตนตาไม่กะพริบ “งามมากเจ้าค่ะ”
ขันหมากมาถึงเรือนพระยารัตนาธิปกตามฤกษ์พอดิบพอดี เสียงตีฆ้องต้อนรับดังสนั่น ชวาลาได้แต่นั่งมองหมื่นวรไชยกับบ่าวไพร่ในเรือนร้องรำทำเพลงไปกับขบวนแห่กันอย่างครื้นเครง แต่จากตรงนี้มองอย่างไรก็มองไม่เห็นเจ้าบ่าว
ระหว่างรอให้ผู้ใหญ่ตรวจดูสินสอดกัน เธอก็ใจเต้นหนักขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกเหนื่อย ทั้งยังสะดุ้งเป็นระยะเมื่อได้ยินเสียงเฮนอกห้องนอนที่ดังขึ้นตามจำนวนทรัพย์ที่นับได้
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าใด สายหยุดจึงเปิดประตูเข้ามาเพื่อพาเธอออกไปในที่สุด
“แม่นาย ได้เพลาแล้วเจ้าค่ะ”
มีเสียงฮือฮาดังขึ้นอีกคำรบเมื่อเจ้าสาวปรากฏตัว ชวาลาพยายามกลั้นใจทำตัวตามปกติ แต่พอเห็นแขกเหรื่อมากมายซึ่งส่วนใหญ่เป็นขุนนางและหญิงสูงศักดิ์ที่เธอไม่รู้จักมองมาทางตนเป็นตาเดียวก็แก้มร้อนผ่าว เกรงว่าหน้าจะขึ้นสีให้คนเห็นจึงก้มหน้างุด ต้องให้เถ้าแก่หญิงเดินจูงมือไปนั่งหน้าตั่งยาวที่ทำไว้สำหรับพิธีซัดน้ำพระพุทธมนต์
‘ราวกับกิ่งทองใบหยก’ เสียงกระซิบกระซาบของทุกคนในงานมีแต่สำนวนนี้อยู่เต็มไปหมด
เจ้าบ่าวข้างตัวถอนหายใจครั้งหนึ่ง
ชวาลาห้ามตัวเองไม่ทัน เผลอหันไปมองเขา สายตาสองคู่จึงสบประสานกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
เมื่ออยู่ใต้แสงตะวันสว่างไสวแล้ว เธอต้องยอมรับว่าชายหนุ่มตรงหน้ารูปงามเสียจริง โครงหน้าคมสันได้รูปไปหมดทุกส่วนจนไม่อาจละสายตา ยิ่งวันนี้เขาหวีผม โกนหนวดเคราเรียบร้อย สวมเสื้อผ้าไหมคอปกแขนยาวพอดีตัวสีกรมท่าเข้ากับโจงกระเบนสีเข้ม นั่งหลังตรงผึ่งผายดูเปิดเผย แฝงความแข็งกร้าวเป็นธรรมชาติเช่นนั้น ชวาลาก็พลันรู้สึกมือไม้เกะกะ เงอะงะไปทันที
ฝ่ายขุนสุริยนหัสดีเพิ่งได้เห็นเจ้าสาวของตัวเองเต็มตาเป็นครั้งแรกเช่นกัน ก็นับว่าน้องสาวหมื่นวรไชยสามารถสวมบทบาทเด็กสาวซื่อใส เป็นผู้ถูกกระทำได้ดีไม่แพ้พี่ชาย ทั้งนัยน์ตาสวยหวานที่ฉายแววประหม่านิดๆ ตื่นตะลึงหน่อยๆ จ้องมองเขาอย่างเผลอไผลไม่ปิดบัง ใช้ข้อได้เปรียบที่ร่างเล็กผอม จะนุ่งห่มอะไรก็ดูบอบบางน่าทะนุถนอมไปสิ้น
คิดไปสายตาออกขุนหนุ่มก็สำรวจหาร่องรอยบาดแผลที่เคยมีบนผิวนวลกระจ่างซึ่งโผล่พ้นชายผ้าตรงนู้นบ้างตรงนี้บ้างโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นว่าหายดีเกือบหมดแล้วจึงได้มองไปทางอื่น
ยามนี้ คนหนึ่งเห็นสีหน้าเจ้าบ่าวเฉยชาใจก็กังวลว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เมื่อสบโอกาสจึงฝืนยิ้มให้เขาทีหนึ่งอย่างเสียไม่ได้ อย่างไรก็ต้องไปอยู่เรือนเขา ถ้าไม่ผูกสัมพันธ์กันไว้เห็นทีไม่ดีแน่
อีกคนหางตาเห็นเจ้าสาวยิ้มน้อยๆ ให้ก็ชะงัก ใจบังเกิดอารมณ์หลากหลายขัดแย้งกันขึ้นมาแวบหนึ่ง
ชวาลางุนงงที่ได้รับความกระด้างขุ่นเคืองในดวงตาสีดำสนิทเป็นสิ่งตอบแทน แต่ก็ยังไม่ทันสำนึกว่าตัวเองทำผิดอะไร ตอนที่พระมหาราชครู ประธานในพิธีสวมมงคลแฝดแก่คู่บ่าวสาว
เมื่อสัมผัสได้ถึงด้ายมงคลบนศีรษะที่เชื่อมโยงเธอกับเขาไว้ด้วยกัน เด็กสาวก็ตระหนักแล้วว่าการเป็นภรรยาของขุนสุริยนหัสดีนั้น ต้องทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล
ความคิดเห็น |
---|